นอนเต็นท์หรูที่ Lala Mukha พร้อมพาลุยไร่ดอกทานตะวันมณีศร @เขาใหญ่

สวัสดีปีใหม่ 2563 ค่ะทุกคน หลังจากเปิดปีใหม่กันมาได้ครึ่งเดือน ในขณะที่ช่วงนี้กรุงเทพฯ อากาศไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก เราเลยอยากชวนทุกๆ คน หลบหนีไปนอนค้างคืนสัก 1 คืน ไปนอนเต็นท์หรู ติดแอร์ มองดวงดาวบนฟ้ากว้าง สัมผัสอากาศเย็นสบายผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เพียงไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ขับรถประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ยินดีต้อนรับทุกคนสู่เขาใหญ่ วันนี้เราจะมาพักกันที่ “Lala Mukha Tented Resort”

Lala Mukha Tented Resort Khao Yai (ลาลามูก้า เต็นท์ รีสอร์ท เขาใหญ่) รีสอร์ทสุดชิคในรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่มีกลิ่นอายของความเป็นแอฟริกาอย่างชัดเจน ตั้งอยู่ที่ 515 หมู่ 5 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30130 ซึ่งเป็นบริเวณรอบนอกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยตัวรีสอร์ทถูกโอบล้อมไปด้วยความงามของธรรมชาติแบบป่าเขตร้อนและทุ่งหญ้า ที่ให้บรรยากาศเหมือนได้มาตั้งแคมป์ในป่าแอฟริกาจริงๆ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่สะอาด และสะดวกสบายมากๆ นอกจากนี้บริเวณรีสอร์ท เราจะสามารถมองเห็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ เป็นฉากหลังอันสวยงามให้กับภาพความทรงจำของเราในครั้งนี้ค่ะ

หากเราขับรถยนต์ส่วนตัวมาเอง บริเวณด้านหน้าของรีสอร์ทจะมีลานจอดรถที่พร้อมรองรับรถยนต์ของผู้เข้าพักในรีสอร์ทแห่งนี้ทั้งหมด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขนย้ายสัมภาระ เพราะที่นี่มีบริการขนย้ายด้วยรถมินิกอล์ฟที่จะนำสัมภาระของเราล่วงหน้าไปยังโซนที่พักก่อนที่เราจะไปถึง ซึ่งการขับรถยนต์ส่วนตัวมาเอง เป็นวิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด แต่หากใครต้องการเดินทางด้วยรถสาธารณะก็สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://lalamukha.com/location-map.php

และเมื่อเราเดินเข้ามาด้านในอาคาร เราจะพบกับเคาน์เตอร์เช็คอิน ขอแนะนำให้แหงนหน้ามองขึ้นด้านบน เพื่อพบกับไม้ไผ่จำนวนมากที่ถูกตกแต่งให้เข้ากับสไตล์ของรีสอร์ทแห่งนี้ โดยหลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะอธิบายถึงเรื่องต่างๆ ภายในรีสอร์ท แจ้งเวลาอาหาร รหัส wi-fi และวิธีการเข้า-ออกโซนพักอาศัย ที่ต้องใช้คีย์การ์ดทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย รวมถึงกุญแจสำหรับล็อคเต็นท์แบบเฉพาะของที่นี่ เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าจะได้พักผ่อนอย่างสงบและปลอดภัยในรีสอร์ทแห่งนี้ โดยกุญแจและคีย์การ์ดจะมาในกระเป๋าพกขนาดเล็กที่มียากันยุง และที่อุดหูให้ด้วยค่ะ

Lala Mukha เป็นภาษาแอฟริกาใต้ ซึ่งแปลว่า “ผ่อนคลาย” เหมือนกับที่รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งใจให้ทุกคนได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า สัมผัสบรรยากาศสงบๆ ปลีกตัวจากความวุ่นวายในการใช้ชีวิตในเมือง และอิ่มเอมไปกับธรรมชาติ สีเขียวสลับเอิร์ธโทนด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการตั้งแคมป์ทางเลือกใหม่ที่แสนสะดวกสบาย แม้คนไม่เคยตั้งแคมป์มาก่อนก็ตาม

ด้านหลังของเคาน์เตอร์เช็คอิน เราจะพบกับร้านอาหารหนึ่งเดียวภายในรีสอร์ทแห่งนี้ Jabulani มีความหมายว่า “ความสุข” ซึ่งมีทั้งโซน indoor และ outdoor แต่ถ้านั่งด้านนอกจะอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นวิวรอบๆ ของรีสอร์ทแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน เป็นการทานอาหารที่แสนอร่อยไปพร้อมกับอาหารตาที่ดีต่อใจ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.00-21.30 น. ในวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี และตั้งแต่เวลา 7.00-22.00 น. ในวันศุกร์-วันเสาร์ โดยเปิดให้บริการกับผู้เข้าพักในรีสอร์ทและบุคคลภายนอกด้วยค่ะ

สำหรับรีสอร์ทแห่งนี้มีห้องพัก 31 ห้อง แบ่งเป็น 3 รูปแบบด้วยกันค่ะ ได้แก่

  1. Eco Safari Tent 18 หลัง เต็นท์สำหรับ 2-3 คน ไม่มีห้องน้ำในตัว
  2. Deluxe Savanna Tent 9 หลัง เต็นท์สำหรับ 2-3 คน (เหมาะกับคู่รักมากๆ) มีห้องน้ำในตัว
  3. Loft Tree House 4 หลัง เป็นบ้านต้นไม้ 2 ชั้น สำหรับ 4 คน

***แต่ละรูปแบบราคาไม่เท่ากัน และแต่ละช่วงของปีก็แตกต่างกัน สามารถดูเรทราคาเพิ่มเติมได้ที่ http://lalamukha.com/room-types.php

โดยในวันนี้เราจะพักกันที่เต็นท์แบบ Eco Safari ห้อง 112 ค่ะ แอบกระซิบว่าเป็นห้องที่ใกล้ห้องน้ำที่สุดแล้ว ถ้าใครเป็นคนที่ขยันเดินเข้าเดินออกห้องน้ำบ่อยๆ แบบเรา เลขห้องนี้คือทางเลือกของคุณค่ะ แต่เนื่องด้วยมันใกล้ห้องน้ำเพราะฉะนั้นจะไม่ได้อยู่ตรงโซนริมน้ำที่เห็นวิวกว้างๆ นะคะ จะถัดมาอีกนิดนึง ซึ่งทุกโซนจะเป็นเวิ้งเต็นท์ที่รายล้อมรอบกองไฟเหมือนกัน ใครชอบแบบไหนก็ลองรีเควสที่เคาน์เตอร์ดูนะคะ

ทุกห้องก็จะมีชุดเก้าอี้สำหรับนั่งกินลมชมวิวกันที่หน้าเต็นท์ หรือจะไว้ถ่ายรูปเก๋ๆ ลงโซเชียลก็เลิศค่ะ

ที่เคาน์เตอร์จะให้ตะเกียงไฟฟ้ามาด้วยตอนเช็คอิน แต่ตอนกลางคืนก็มีไฟทางเดินสว่างเพียงพออยู่นะ เราไม่ได้พกไปไหนมาไหนเลย วางเอาไว้ในห้องค่ะ

ภายในเต็นท์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านหน้าเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น ด้านหลังเป็นห้องนอนค่ะ กว้างขวาง เต็นท์สูงเดินได้แบบชิลๆ ในเต็นท์ด้านหน้าจะอุ่นๆ หน่อย เพราะแอร์จะอยู่ที่ข้างเตียงค่ะ ด้านหลังเลยเย็นกว่า ในตอนกลางคืนที่นี่ค่อนข้างเงียบและสงบมาก และด้วยความเป็นเต็นท์ก็อาจมีเสียงภายนอกเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะๆ แต่ไม่ดังจนน่ารำคาญนะคะ ส่วนใหญ่เป็นเสียงคนเดินผ่านคุยกันประมาณนี้มากกว่า (ก็เราพักใกล้ห้องน้ำไง 555555)

เข้ามาในเต็นท์น้องๆ รอต้อนรับยู่บนเตียง แต่ละห้องก็ได้ตุ๊กตาคนละตัวกัน ทางรีสอร์ทวางไว้ให้เรานอนกอดน้อง พาน้องไปถ่ายรูปเล่นได้ตามสบายค่ะ ส่วนถ้าเกิดใครอยากได้น้องกลับบ้าน ก็มีค่าตัวที่ 200 บาท สามารถชำระเงินได้ที่เคาน์เตอร์ โดยจะนำรายได้ไปช่วยเหลือมูลนิธิเกี่ยวกับสัตว์ค่ะ

ภายในเต็นท์มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น กะติกน้ำร้อน มินิบาร์ที่มีทั้งน้ำผลไม้ ชา กาแฟ ผลไม้ที่ถูกซีลไว้อย่างดี คุ้กกี้ ผลไม้อบแห้งซึ่งสามารถทานได้ฟรี! ทุกรายการ รวมไปถึงล็อคเกอร์ โทรทัศน์ พัดลม ที่แขวนผ้าซึ่งมีหมวก และกระเป๋าผ้าสำหรับแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศของที่นี่ก็มีพร้อม และที่ขาดไม่ได้สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอย่างผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดตัวเมื่อว่ายน้ำ รองเท้าแตะพร้อมถาดวางก็มีอยู่อย่างแน่นอนค่ะ เรียกได้ว่ามาแต่ตัวแล้วเข้าพักได้เลย

แต่สำหรับสาวๆ ที่ต้องการแต่งหน้าก็อาจหัวเสียเล็กน้อย เพราะในเต็นท์มีโคมไฟเพียง 2 ดวง คือห้องนั่งเล่น 1 ดวง และห้องนอน 1 ดวง ซึ่งไม่ค่อยเพียงพอในการใช้งาน เราก็จะขอแนะนำทางแก้ไขในช่วงกลางวันที่เราใช้ก็คือ รูดซิปเต็นท์ออกเล็กน้อยให้มีแสงเข้าเพียงพอต่อความต้องการค่ะ

ในแต่ละเต็นท์จะมีรูปสัตว์ประจำเต็นท์ที่ไม่เหมือนกันด้วยนะคะ

นี่คือห้องน้ำนะคะ ใหญ่มาก หลังนี้เป็นห้องน้ำชาย แล้วก็มีห้องน้ำหญิงแยกอีกหลังหนึ่งนะคะ ภายในก็จะมีโซนห้องน้ำ 5 ห้อง โซนห้องอาบน้ำที่มีบริเวณสำหรับแต่งตัวภายในห้อง 6 ห้อง โซนอาบน้ำสำหรับคนที่ไปว่ายน้ำมาเป็น outdoor บนพื้นหิน และโซนแต่งหน้าทำผม มีไดร์เป่าผม หมวกคลุมผม ก้านสำลี ครีมอาบน้ำ แชมพูให้บริการ มีรองเท้าแตะให้เปลี่ยน สะอาด กว้างขวาง ลืมภาพความลำบากของห้องน้ำในลานกางเต็นท์เก่าๆ ไปได้เลย

ส่วนนี่คือ Loft Tree House นะคะ ถ้าใครมากันหลายๆ คนก็ขอแนะนำเป็นบ้านต้นไม้ ด้านบนมีเฉลียงดูดาว ด้านล่างมีเปลตาข่ายให้นอนเล่น

เราไม่ได้ทานอาหารเย็นที่รีสอร์ทแต่ถ้าใครไม่อยากออกไปไหน ร้านอาหารก็เปิดให้บริการนะคะ ได้ทานอาหารอร่อยๆ ไปพร้อมกับดูดาวฟินๆ บนฟ้าโปร่ง -////-

มื้อเช้าของที่นี่เป็นบุฟเฟ่ต์ มีทั้งอเมริกัน จีน และไทย เริ่มทานได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไปจนถึง 10 โมงเลย

นอกจากที่กล่าวไปในรีสอร์ทก็มีสระว่ายน้ำด้วยนะ เนื่องจากเราไม่ได้แวะไปเลยไม่มีภาพมาฝากกัน แต่เราได้สืบมาให้แล้วว่าเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.30 น.-19.00 น. เป็นสระ outdoor ขนาด 15*7 เมตร ยกพื้นสูงเพื่อให้รู้สึกเหมือนถูกธรรมชาติโอบกอด มองเห็นวิว 360 องศา

  • Website : http://lalamukha.com
  • Facebook : https://www.facebook.com/lalamukha/
  • โทร : 044-300-691

หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้ว เราก็รีบเดินทางต่อ เพื่อมาให้ทันช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการชมไร่ดอกทานตะวัน ซึ่งก็คือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า ก่อนที่ดอกทานตะวันจะคอตก

และเราก็มาถึงไร่ดอกทานตะวันขนาด 540 ไร่ เชิญพบกับ “ไร่มณีศร” ไร่ที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยืนต้นตาย สู่การเป็นไร่ดอกทานตะวันที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน

ไร่มณีศรตั้งอยู่ที่ บ้านคลองเสือ หมู่ 15 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยจะเปิดให้เข้าชมปีละ 1 ครั้ง ช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคมของทุกปี แต่ละปีจะเปิดไม่พร้อมกัน ดังนั้นเราขอแนะนำให้เช็คกับทางไร่ก่อนไปทุกครั้ง ( สอบถาม คลิก ) เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 6.00 น.-18.00 น. ของทุกวัน

เราตั้งใจไปถ่ายใกล้ๆ เอง ปกติน้องจะไม่มายุ่งกับเราเลยนะ ต่อให้มาใกล้ๆ ก็ไม่ต่อยแน่นอน เพราะน้องกำลังขมักเขม่นกับการเก็บน้ำหวาน จนแทบจะไม่สนใจเราเลยค่ะ

จากภาพเราได้ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563 นะคะ ดอกทานตะวันยังบานไม่เต็มทั้งหมด ถ้าหลังจากนี้จะต้องเหลืองอร่ามสวยกว่านี้อีกแน่นอนค่ะ ถ้าใครอยากจะไปต้องรีบแพลนวันกันเลยนะคะ

สำหรับไร่มณีศรมีค่าบริการเพื่อบำรุงสถานที่ โดยอัตราค่าเข้าชม คือ

  • เด็กระดับอนุบาล – เข้าฟรี
  • เด็กประถม – 20 บาท
  • ผู้ใหญ่ (คนไทย) – 40 บาท
  • ชาวต่างชาติ – 80 บาท

และนอกจากดอกทานตะวันแล้วบริเวณทางเข้าก็จะมีขายผลิตภัณฑ์จากดอกทานตะวันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวันอบกรอบรสออริจินัล รสน้ำผึ้ง รสต้มยำ หรือต้นทานตะวันเป็นกระถาง พร็อพถ่ายรูป รูปดอกทานตะวันหลากหลายแบบ รวมถึงน้ำและขนม คอยจำหน่ายให้ผู้สนใจ ตลอดทางเดินก็มีพ่อค้าแม่ขายเรียกให้ชิมไม่หยุดหย่อนเลยค่ะ ราคาไม่แพง สามารถอุดหนุนเป็นของฝากได้ตามอัธยาศัย ส่วนโซนด้านหน้าสวนก็มีฟาร์มสัตว์ขนาดเล็กด้วยนะ แต่เราติดพันอยู่กับดอกทานตะวันจนไม่ได้เดินไปดู รวมถึงมีบริการที่พักเป็นกระโจมภายในไร่ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ ที่นี่ ค่ะ

จบไปแล้วกับการเดินทางสั้นๆ เพื่อผ่อนคลายความอ่อนล้าของร่างกายและจิตใจ กลับมาพร้อมกับภาพความทรงจำบทใหม่ แล้วเราจะกลับมาอีกครั้งนะ @เขาใหญ่ Bye Bye