ไปเดินปราสาทโอซาก้ากัน Osaka Castle

แรงบันดาลใจในการไปเยือนปราสาทโอซาก้าครั้งนี้ เกิดจากการดูการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนในวัยเด็ก โดยที่ไม่รู้หรอกว่าใช้ปราสาทนี้เป็นธีมในเรื่องจริงรึเปล่า แต่ปราสาทในการ์ตูนมันหน้าตาคล้ายแบบนี้แหละ และเราไปเยือนจังหวัดโอซาก้าพอดี :’)

นี่เป็นการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 2 ของเรา และเป็นครั้งแรกที่ไปโอซาก้า โดยเราใช้เวลาอยู่ที่โอซาก้าเป็นเวลา 3 วัน และแวะมาที่ปราสาทโอซาก้าในวันสุดท้าย โดยช่วงที่เรามาถึงเป็นเวลาประมาณ 13.30 น. อากาศของวันนี้เริ่มร้อนขึ้นอย่างชัดเจน อุณหภูมิอยู่ที่ 16 องศา พร้อมกับแดดเปรี้ยงปร้างสาดใส่หน้าแบบไม่บันยะบันยัง จากวันอื่นๆ ที่อุณหภูมิ 9-11 องศา ต้องใส่เสื้อ 2-3 ชั้น วันนี้กลับเป็นความลำบากในการต้องใส่เสื้อคลุมที่ไม่มีที่เก็บ เพราะใส่ออกมาโดยคิดว่าอากาศจะเย็น เราจึงคิดซะว่า มันเป็นเสื้อกันแดดที่จะทำให้เราหนีพ้นจากแสง UV รอบด้านที่โจมตีเราตอนนี้

เราเดินทางไปปราสาทโอซาก้าด้วยรถไฟใต้ดิน โดยมาโผล่ที่สถานี Tanimachiyonchorme Station (สถานีทานิบาจิ ยงโจเมะ) ซึ่งเป็นสถานีที่มีรถไฟผ่าน 2 สาย คือ “สายทานิมาจิ (Tanimachi)” และ “สายจูโอ (Chuo)” ถ้าเราลงสถานีนี้ เราจะได้เข้าทางด้านหน้าของปราสาท โดยเราเดินตามเส้นทางแบบรูปด้านล่างนี้เลย แอปที่ช่วยชีวิตเราตลอดการเดินทางที่ญี่ปุ่นก็คือ Google map (เราเป็นคนติดแอปนี้ตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไทยหรือญี่ปุ่นนะคะ ) ระยะทางตามแผนที่ก็คือ 1.2 กิโลเมตร ระยะทางตามจิตใจก็คือ 1.2 กิโลแม้ว แต่คนอื่นอาจจะเฉยๆ ก็ได้ค่ะ คนญี่ปุ่นเดินกันชิลมากกก 55555 แต่เราซึ่งเดินมาตลอดทริป 8 วัน พอวันสุดท้ายก็คือ “เมื่อไหร่จะถึ๊งงงงง” บ่นพร้อมก้าวเดินเพื่อเป้าหมายตามรอยการ์ตูนต่อไปปปป ปล. เดินตามสถานที่ในรูปด้านล่างนี้ไปได้เลยนะคะ

นี่คือตึกที่เห็นทันทีหลังขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ประตู 3 แล้วหันซ้าย เป็นตึกที่มีขนาดใหญ่มากค่ะ แต่ด้วยความรีบๆ และเหนื่อยๆ เลยไม่ทันได้เปลี่ยนเลนส์วายขึ้นมาถ่ายมุมกว้างให้เห็นชัดๆ ซึ่งตอนเห็นก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นตึกที่มีความสำคัญอะไรสักอย่างหนึ่ง พอกลับมาเลยมาลองค้นดู มันคือตึกที่รวมเอา Osaka Museum of Hisory อยู่ทางปีกขวา, NHK Osaka Hall ทางด้านหน้าซ้าย, และ NHK Osaka Broadcasting Station ปีกซ้ายด้านหลัง แล้วเราก็พบว่า … Osaka Museum of Hisory เนี่ย คือที่ที่เราตั้งใจจะมา แต่ลืมเดินเข้าไป เพราะความเหนื่อยล้าของเราเอง คิดแต่จะไปหน้าปราสาทซะให้ได้ TT’

เสาหินด้านหน้าของ Hoenzaka iseki ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าสำคัญในด้านไหนเหมือนกันค่ะ ลองหาข้อมูลส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มันจะอยู่ด้านหน้าทางขวาของตึกด้านบน พอเราเดินผ่านตรงนี้ เราก็เดินเลาะไปทางด้านขวาของตึกด้านบนเพื่อหลบแดดไปข้ามถนนที่ทางม้าลายค่ะ

พอเราเดินมาเรื่อยๆก็จะมองเห็นตึก Osaka Museum of Hisory จากอีกด้านหนึ่งค่ะ

พอเห็นตึกก็หันขวานั่งพักที่บันได 55555 ตามสไตล์คนปวดขาของแม่วัย 50++ กับลูกวัยใกล้เบญจเพส สังเกตดูก็คือตึกบังแดดให้หมดเลย เป็นทำเลดีในเวลาแบบนี้ มีลมอ่อนๆ นิดนึง สิ่งที่เราชอบของญี่ปุ่นก็คือไฟจราจรที่มีทุกแยกเลย ข้ามถนนได้สบายใจมาก เป็นเหตุผลให้ได้หยุดเดินเป็นพักๆ ด้วย รถก็ค่อนข้างทำตามกฎจราจรอย่างดี แต่ถ้าให้เทียบระหว่าง Tokyo กับ Osaka ที่นี่ก็มีคนฝ่าไฟแดงเยอะกว่าอยู่พอสมควรเลย ทั้งคนเดินแล้วก็รถด้วย อาจเพราะเมืองมันเงียบกว่า ในบางจุดมันโล่งมากๆ มากขนาดที่ไม่อยากรอสัญญาณไฟแล้ว

น้องงงงงงง หยิบกล้องอย่างเร็ว ทันแค่รูปนี้แหละ คนเดินกันเร็วมาก แต่ก็ควรเดินเร็วนะคะ ถึงจะมีสัญญาณไฟจราจรแต่ก็ไม่ได้มีเวลาให้ข้ามนานมากนัก แล้วก็อันตรายด้วย อย่าทำแบบเรานะ แต่น้องน่ารักมาก

เราจะเห็นตึกนี้ถ้าหันซ้ายตอนข้ามถนน มันคือ Osakafu Police Headquarters ก็กองกำกับการตำรวจของโอซาก้าแหละ แต่ตอนเราถ่ายเราก็คิดแค่ว่า ตึกเท่ๆดี

ช่วงข้ามถนนเสร็จแล้วก็เดินตามแผนที่มาเลย หรือตามฝูงคนมาก็ได้ ส่วนใหญ่มาทางเดียวกันหมดนั่นแหละ ตรงด้านหน้าจะเจอป้อมกลมๆ เป็นห้องน้ำกับร้าน Lawson เท่าที่เราดูที่นี่ก็มีทั้งนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่น คนมาวิ่ง ปั่นจักรยานออกกำลังกาย เที่ยวคนเดียว เที่ยวแบบคู่รัก ครอบครัว เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ น้องหมาน้องแมวมาหมด ครบจบในที่เดียวมากๆ เพราะบริเวณกว้างขวางกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างโอเคเลย (ในรูป คนซ้ายนั่นเราเอง)

ก่อนเดินเข้า แวะพักอีกรอบ พร้อมเปิดตัวแม่ ทางที่เดินมาส่วนใหญ่จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตลอดทาง พอให้ไม่โดนแดดตรงๆ แต่ต่อจากนี้ดูโล่งแจ้งมากจ้า ขอเตรียมตัวเตรียมใจนิดนึง

ไปค่ะ นี่คือทางเข้าด้านหน้านะคะ ซุ่มประตูเพื่อเข้าไปในอาณาเขตของกำแพงหินขนาดยักษ์รอบปราสาทค่ะ

มีคนเอาจักรยานแบบปั่น 2 คนมาเที่ยวด้วย มีความตื่นเต้นๆ มากค่ะ 5555

คูน้ำรอบปราสาท เวลาเห็นในการ์ตูนจะต้องมีฉากลักลอบเข้าปราสาทด้วยเรือเล็กลอดไปตามช่องลับ

กวาง : แม่! ไปทำไรตรงน้านนนน
แม่ : หลบแดด!

ต้นไรไม่รู้ สวยดี มันมีแท่งๆ ชี้ขึ้นฟ้าเต็มเลย

สำหรับใครที่ไม่อยากเดิน มีรถรับส่งระหว่างสถานีรถไฟ-ปราสาทโอซาก้า นะคะ ค่าบริการ 200 เยน (ถ้าจำไม่ผิด) แต่เราไม่ได้นั่งนะคะ เพื่อความประหยัด แล้วตอนเห็นรถก็คือเดินมาไกลแล้ว ไม่แน่ใจว่าขึ้นจากตรงไหนเหมือนกัน

เข้ามาแล้ววว

มีรถลากด้วย น่าจะเป็นคู่แต่งงานนะ ที่โตเกียวก็เจอตามวัดใหญ่ๆ เหมือนกัน ขอให้มีความสุขทั้งคู่นะคะ

MIRAIZA OSAKA-JO

เมื่อเดินเข้ามาก่อนถึงปราสาทโอซาก้า ทางด้านขวาจะเจอ MIRAIZA OSAKA-JO เป็นเสมือนห้างสรรพสินค้าของที่นี่ มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ร้านแต่งตัวแบบนินจา รวมถึงพิพิธภัณฑ์มายากลและภาพลวงตา Illusion Museum ตอนเรามาเจอที่นี้ก็ตกใจไปแปบนึง คือถ้าเป็นเมืองไทย สถานที่ประวัติศาสตร์แบบนี้ คงไม่มีห้างตั้งอยู่ข้างหน้าขนาดนี้ แล้วคนเดินไปมาแบบเยอะมาก เหมือนมาปิคนิคตามสวนสาธารณะทั่วไป (แต่ก็มีสวนอยู่จริงๆ นะ) โดยตึกสวย แอร์เย็นฉ่ำ ประชาสัมพันธ์อยู่ด้านหน้าทางขวา ลิฟท์อยู่ด้านซ้ายของบันไดโถงกลาง คนรอเยอะมาก เดินเอาเร็วกว่า วันหยุดคนเยอะแต่ไม่ถึงกับแออัด เด็กๆ เยอะ ต้องเดินระวังนิดนึงน้องๆ ชอบวิ่งไปมา T^T

เกร็ดความรู้ อาคารแห่งนี้ สมัยก่อนถูกใช้เป็น “กองบัญชาการกองทัพบกกองพลที่ 4” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1931 ภายหลังถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำอำเภอโอซาก้า โดยหลังจากที่พิพิธภัณฑ์ปิดตัวลงไป 16 ปี ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นแบบในปัจจุบัน ที่มา : https://osaka-info.jp/th/page/miraiza-osaka-jo

Illusion Museum

พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับมายากลและภาพลวงตาจากประเทศต่างๆทั่วโลก รวมถึงมีโชว์มายากลด้วย เหตุผลหลักๆ เลยที่เรามาที่นี่ก็เพราะว่าเป็นสถานที่หนึ่งที่ได้ค่าเข้าฟรีจากบัตร Osaka Amazing Pass เป็นบัตรค่าเข้าของทุกสถานที่ ที่เราไปในวันนี้ รวมค่ารถไฟใต้ดินด้วย เดี๋ยววันหลังเราจะมาทำบทความแยกเกี่ยวกับคุณประโยชน์และสิทธิพิเศษของบัตรให้ฟังอีกทีนะ

สำหรับบัตร Osaka Amazing Pass จะฟรีค่าเข้าชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่มายากลและภาพลวงตา ไม่รวมค่าเข้าชมมายากลที่ต้องจ่ายแยกนะคะ โดยอัตราค่าบริการสำหรับเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมื่อไม่มีบัตร Osaka Amazing Pass จะอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 1,200เยน /小人(4-11ปี)700เยน / อายุต่ำกว่า 3 ปี เข้าชมฟรี และในส่วนของโชว์มายากล จะอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 500 เยน สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปี เข้าชมฟรี เวลาทำการ คือ 11.00 – 17.30 น. รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.miraiza.jp/illusion/en/

ใกล้เข้าไปอีกนิด

เมื่อเดินต่อมา เราก็เริ่มเข้าใกล้ปราสาทแล้ว ในที่สุดก็มาตีนปราสาทแล้ว ดีใจมาก ทางขวานั่นคือแถวซื้อบัตรเข้าชมนะคะ ค่าเข้าชมปราสาทโอซาก้าอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็กมัธยมต้นลงไปเข้าฟรี เวลาทำการ 9:00 – 17:00 (เข้าได้จนถึงเวลา 16:30) ในฤดูชมซากุระ โกลเด้นวีค และวันหยุดฤดูร้อนจะขยายเวลาเปิดนานขึ้น แต่สำหรับเราที่มีบัตร Osaka Amazing Pass ก็ไม่ต้องเข้าแถวนะคะ เดินไปด้านหน้าสุดด้านซ้ายของห้องขายบัตรจะมีช่องทางพิเศษอยู่ แค่โชว์บัตรก็เข้าได้เลยค่ะ สะดวกมาก บัตรนี้ทำให้เราได้ Fast Track ในทุกสถานที่เลยค่ะ

ชิดเข้าไปอีกหน่อย

ขึ้นบันไดแล้ววว ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ ใกล้จะได้เห็นข้างในแล้ว

ก็จะมีกรวยกั้นช่องทางเดินอยู่นะคะ ทางซ้ายคือเข้าไปเดินชั้น 1 ของอาคาร หรือต้องการขึ้นบันได ทางด้านขวาคือต่อแถวเพื่อขึ้นลิฟท์ไปชั้น 5 เพื่อดูนิทรรศการ ก่อนเดินขึ้นบันไดไปชั้น 8 ที่เป็นจุดชมวิว (ต้องขึ้นบันไดเท่านั้น) และตอนลงก็ไม่ให้ใช้ลิฟท์ด้วยค่ะ ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันทุกวันไหม แต่วันที่เราไปไม่ให้ใช้ค่ะ อาจจะเพราะคนเยอะ โดยในแต่ละชั้นก็จะมีนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโอซาก้าด้วยนะคะ ซึ่งในชั้น 3,4 จะห้ามถ่ายภาพค่ะ

เกร็ดความรู้ ปราสาทโอซาก้า ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1583 โดย “โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ” (Toyotomi Hideyoshi) เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครอง ใช้เวลา 3 ปีในการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ บนพื้นที่เดิมของวัดอิชิยาม่า โฮคันจิ (Ishiyama Honganji Temple) ซึ่งถูกทำลายโดยโอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga)

ไม่กี่ปีหลังจากนั้นตระกูลโทโยโทมิ ถูกฆ่าหมดสิ้นโดยโชกุน Tokugawa Ieyasu และปราสาทได้ถูกทำลายลง จนในสมัยของโชกุน Tokugawa Hidetada (ลูกของโชกุน Tokugawa Ieyasu) จึงมีการก่อสร้างปราสาทโอซาก้าครั้งที่ 2 ก่อนถูกทำลายอีกครั้งจากฟ้าผ่าและเกิดเพลิงไหม้จนเสียหายทั้งหมดในปี ค.ศ. 1665

ค.ศ. 1931 มีการสร้างปราสาทใหม่เป็นครั้งที่ 3 ด้วยโครงสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก และได้เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไปในประสาทด้วย ก่อนบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1997 จนปราสาทงดงามอย่างในปัจจุบัน

ด้านบนสุดของปราสาทเป็นจุดชมวิว ซึ่งมีตะแกรงเหล็กแข็งแรงป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายนะคะ

วิวจากด้านบนสุดของปราสาท ทั้ง 4 ทิศ สามารถมองเห็นวิวรอบๆ เมืองโอซาก้าได้อย่างกว้างไกล

โดยถึงมีตะแกรงเหล็ก แต่ก็มีส่วนที่ไม่มีตะแกรงเพื่อให้ถ่ายรูปได้สะดวกโดยไม่มีอะไรบดบังวิวด้วยค่ะ พอขึ้นมาบนนี้เราก็จะหยุดพักปักหลักกันนานหน่อย ให้คุ้มค่ากับการเดินทางมา และดื่มด่ำกับความฝันวัยเด็กอีกนิด สำหรับใครที่จะมาเซลฟี่ข้างบนก็หามุมกันนานหน่อย เพราะคนอยู่ทุกพื้นที่ที่แทรกตัวเข้าไปถ่ายวิวได้เลย แต่มาถึงแล้วสำหรับเราก็คุ้มค่าค่ะ ไม่มาเหมือนมาไม่ถึงโอซาก้า แต่ถ้าใครไม่ใช่สายนี้ไม่มาก็ไม่ผิดค่ะ 555555

แนะนำว่าเอาเลนส์ยาวๆ มาหน่อย จะได้ถ่ายได้สนุกสนานมากเลย ซูมไปๆ อยากเห็นอะไรก็ซูมไป คนสายตาสั้นๆแบบเราก็เห็นได้ทุกอย่าง :’3

ด้านบนอาคารของ MIRAIZA OSAKA-JO

มองลงไปข้างล่าง

ปลาโลมาสีทองบนจั่วหลังคา มีอยู่ทั้งหมด 8 ตัว และตรงชั้นบนสุดประดับรูปสลักเสือสีทอง (ตรงส่วนด้านนอกที่เรายืนถ่ายรูปอยู่นั่นแหละ) เป็นสิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้มีชื่อเล่นว่า คินโจ (錦城 หรือ 金城) ซึ่งแปลว่า “ปราสาททอง”

และเราก็กำลังเดินทางออกจากปราสาทโอซาก้าแล้วค่ะ โดยเรากลับคนละทางกับที่เรามานะคะ เพราะว่าเราจะไปที่อื่นต่อ เลยไปสถานีรถไฟอีกสถานีหนึ่ง ที่เราคาดเดาว่าจะสะดวกกับสถานที่ต่อไปมากกว่า ทางกลับด้านนี้ ให้เดินเลาะด้านซ้ายของปราสาทมาเรื่อยๆนะคะ อาจจะมองเหมือนทางตันเพราะกำแพงขนาดใหญ่บดบังเส้นทาง แต่มีเส้นทางปกติเลย คนเดินเยอะ

ทางนี้ตอนเย็นๆร่มกว่านะ ขนาดเรากลับเย็นแล้ว (ประมาณ 4-5 โมง) ก็ยังมีคนทยอยเข้าปราสาทกันอยู่เรื่อยๆ ค่ะ

Osaka castle Gozabune Boat

อันนี้คือเรือสำราญชมรอบปราสาทโอซก้านะคะ จริงๆ ค่าบริการรวมอยู่ในบัตร Osaka Amazing Pass ด้วย แต่ช่วงเวลาที่เราไป มันไม่ทันรอบแล้ว ก็คือหมดค่ะเลยอด ได้มองเห็นแค่ตอนกลับ เสียดายมากเลยค่ะอันนี้ ถ้าใครมาก็อย่าลืมไปนั่งเรือกันด้วนะคะ ท่าเรือขึ้นทางด้านหลังของปราสาทค่ะ ด้านหลังเรือในภาพเลย เวลาทำการ 10.00 – 16.50 น. (เรือออกรอบสุดท้าย) เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนกุมภาพันธ์ ให้บริการถึง 16.30 น.(เรือออกรอบสุดท้าย) เรือออกทุกๆ 10 – 15 นาที ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยค่าบริการปกติ ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็กถึงชั้นมัธยม 750 เยน ผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป 1,000 เยน 

ค่อยๆ ไกลออกมาาาา

พอเดินข้ามสะพานมา เราจะเจอ Crystal Tower ตึกใหญ่เด่นมาก เดินเลาะด้านขวาตึกไปเรื่อยๆ จะเจอทางลงสถานีรถไฟใต้ดิน

ตอนกลับเราเดินมาลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Osaka Business Park Station ระยะทาง 1.3 กิโลเมตร หรือใครจะกลับเส้นทางเดินจากกวางก็ได้ มาเข้าทางนี้แทนถ้าสถานีนี้สะดวกมากกว่า

ที่เราบอกไปว่าจะทำบทความแยก แต่เราขอเกริ่นคร่าวๆ ก่อนถึงบัตรที่เราใช้แทนค่ารถไฟใต้ดิน และค่าเข้าสถานที่ในวันนี้ของเรา Osaka Amazing Pass แบบ 1 day pass ราคา 2,500 เยน หรือถ้าใครซื้อแบบ 2 days pass ก็ราคา 3,300 เยน มีตัวแทนจำหน่ายอยู่หลายที่ แต่เราซื้อผ่าน Traveloka Xperience แปะลิ้งค์ไว้ให้ https://www.traveloka.com/th-th/activities/japan/product/osaka-amazing-pass-1000419054549?source=form&si=56YF9BQKN&ppsi=5hnjv45aksujy5m1kk6 ซึ่งในเว็บจะโชว์ราคาเป็นค่าเงินบาทให้เลย เราก็จะได้ QR Code ไปแลกที่สนามบิน สะดวกมาก ใครมาโอซาก้าแนะนำใบนี้ (ตัวแทนจำหน่ายแต่ละที่ มีวิธีรับบัตรกันคนละที่นะ ตรวจสอบข้อมูลก่อนจองด้วยนะทุกคน)

ส่วนกล้องที่เราใช้ในทริปนี้มี 2 ตัวนะคะ นั่นก็คือ Olympus PEN-F + Olympus M. Zuiko 25 mm, f 1.8 ซึ่งตัวนี้จะถ่ายภาพละลายหลังต่างๆ ภายในทริป อาจจะยังไม่เห็นบทบาทในบทความนี้มากนัก แต่บทความต่อๆ ไป ก็จะได้มีส่วนสำคัญมากขึ้นค่ะ สำหรับในบทความนี้จะเป็นการใช้ Olympus PEN-F + M. Zuiko 7-14 mm, f 2.8 pro ในโหมดโปรไฟล์สี Pop Art เพราะสามารถเก็บภาพในมุมกว้างมากๆได้ แล้วก็เก็บท้องฟ้าสีฟ้าสดของประเทศญี่ปุ่นที่กวางชอบมากเอาไว้ได้ค่ะ เหตุผลหนึ่งที่กวางชอบประเทศญี่ปุ่นก็คือท้องฟ้าสีฟ้าสดที่ไม่เหมือนกรุงเทพ ฯ ที่ท้องฟ้าสีขาวๆ หมอกๆ เนี่ยแหละ ส่วนอีกตัวหนึ่งที่ใช้เยอะมากไม่แพ้กันเลยก็คือ Panasonic Lumix GX8 + 14-140 mm, f 3.5-5.6 ที่จะคอยเก็บภาพครอบคลุมในระยะ normal จนถึง tele ที่ทำให้กวางสามารถซูมตึก ซูมวิวจากบนยอดปราสาทชั้น 8 ลงไปที่ไกลๆ ได้ เพราะนอกจากระยะเลนส์แบบ X 2 ของระบบกล้อง mirrorless ผนวกกับเลนส์ยาวไกลถึง 140 mm ยังสามารถใช้ดิจิตอลซูมได้อีก X 4 ทำให้ถ่ายได้ระยะไกลสุดๆ โดยไม่ต้องพกเลนส์ขนาดใหญ่เลย สำหรับการเดินเที่ยว สักพักไปช้อปปิ้งแบบชาวเราพกน้ำหนักแค่นี้ก็กำลังเหมาะสมเลย

Bye Bye Osaka Castle :’)