“EXCLUSIVE! 12 พิกัดเที่ยวโตเกียว ช่วง Golden Week อัปเดต 2025 : เที่ยวได้จริง บินต่อเครื่องสุดคุ้มไปกับสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ (Thai Lion Air)”

จุดหมายในฝันของใครหลายคน “มหานครโตเกียว แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย” วันนี้เราจะมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาตินาริตะ ด้วยสายการบิน Thai Lion Air ที่จะเปลี่ยนภาพความยุ่งยากของการบินต่อเครื่องไปจากใจคุณ โปรดเตรียมตัวให้พร้อมกับการผจญภัยสุดพิเศษในช่วง Golden Week 2025 กับ 12 พิกัดเด็ดที่เราสองแม่ลูกสำรวจมาแล้ว! เชิญมาสัมผัสโตเกียวจากหลากหลายมุมมอง ครบทุกสไตล์ จากแหล่งรวมความสนุก ไปจนถึงย่านวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ การันตีความคุ้มค่าในทุกประสบการณ์

สารบัญ

สายการบิน Thai Lion Air กลับมาให้บริการเที่ยวบินสู่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว! ในเส้นทาง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – โตเกียว (นาริตะ) โดยแวะพัก 1 ครั้ง ที่ ไทเป (เถาหยวน) ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2023 ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเปิดประสบการณ์เดินทางครั้งแรกบนเส้นทางนี้ ในช่วงวันที่ 24 เมษายน 2025 กับ Thai Lion Air ค่ะ

สายการบิน Thai Lion Air

สายการบิน Thai Lion Air ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 เป็นสายการบินราคาประหยัด (LCC) สัญชาติไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Lion Air Group ซึ่งยังประกอบด้วย Lion Air, Wings Air, Batik Air และ Lion Bizjet โดยมีฐานการบินหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ด้วยสโลแกน “Freedom to fly” สื่อถึงสายการบินที่มุ่งมั่นมอบความสะดวกสบายและอิสระในการเดินทาง โดยให้บริการด้วยฝูงบินที่ทันสมัยในตระกูล Boeing 737-900ER และ Boeing 737-800 ครอบคลุมทั้งเส้นทางบินภายในประเทศและจุดหมายสำคัญระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้รับการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกจาก IATA Operational Safety Audit (IOSA) ซึ่งเป็นการตอกย้ำการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ

เส้นทางบิน ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง (DMK) สู่ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ (NRT)

ในครั้งนี้ เราจะเดินทางด้วยเที่ยวบิน Thai Lion Air Flight SL394 ซึ่งเป็นเที่ยวบินแบบต่อเครื่อง โดยแวะพัก 1 ครั้ง ที่ไทเป เวลารวมตลอดการเดินทางอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 15 นาที แบ่งเป็นช่วงบินแรก 3 ชั่วโมง 55 นาที แวะพัก 1 ชั่วโมง และบินต่ออีก 3 ชั่วโมง 20 นาที เพื่อความสะดวก เคาน์เตอร์เช็คอินจะเปิดให้บริการก่อนเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง และปิดให้บริการ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก โดยมีเวลาการเดินทาง ดังนี้

ดอนเมือง (DMK) เวลา 6.15 น. —> เถาหยวน (TPE) 11.10 น.

เถาหยวน (TPE) 12.10 น. —> นาริตะ (NRT) 16.30 น.

เครื่องบินที่ให้บริการในเส้นทาง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – โตเกียว (นาริตะ) คือ Boeing 737-900ER ซึ่งมีโครงสร้างแบบชั้นประหยัดทั้งหมด และสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 215 คน การจัดเรียงที่นั่งเป็นแบบ 3-3 โดยเป็นเบาะหนังที่มีความกว้าง 17 นิ้ว และระดับความสูง 29 นิ้ว สำหรับผู้ที่อยากชมวิวภูเขาไฟฟูจิ เราขอแนะนำว่าขาไปให้เลือกนั่งฝั่งซ้าย (แถว A, B, C) และขากลับให้เลือกนั่งฝั่งขวา (แถว D, E, F) นะคะ

ตั๋วเครื่องบินของ Thai Lion Air โดดเด่นด้วยราคาประหยัดที่คุ้มค่าและจับต้องได้ แม้ในช่วงที่สายการบินอื่นมีราคาสูง โดยราคาสำหรับเที่ยวบินไป-กลับรวมน้ำหนักกระเป๋าเช็คอิน 20 กก. (ไม่จำกัดจำนวนชิ้น) มาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 11,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จอง และอาจมีราคาถูกลงอีกในช่วงโลว์ซีซันหรือช่วงจัดโปรโมชันพิเศษประจำปี พิเศษคือหากจองผ่าน www.lionairthai.com จะไม่มีค่าธรรมเนียมการจองหรือค่าธรรมเนียมการตัดบัตรเพิ่ม นอกจากเส้นทาง กรุงเทพฯ-นาริตะ แล้ว Thai Lion Air ยังมีเส้นทางบินสู่ญี่ปุ่นอีก 2 เส้นทางให้เลือก คือ กรุงเทพฯ-นาโกย่า และ กรุงเทพฯ-โอกินาว่า ค่ะ

*ไม่มีให้บริการ Wi-Fi, พอร์ต USB Type-A/Type-C สำหรับชาร์จอุปกรณ์, และหน้าจอเพื่อความบันเทิง ในเที่ยวบินนี้

**ข้อมูลเกี่ยวกับการโหลดสัมภาระ : https://www.lionairthai.com/th/ThaiLionAir-Experience/Baggage-Allowance

เริ่มออกเดินทางสู่มหานครโตเกียว

เราเดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองช่วงเวลาประมาณตี 3 รอประมาณครึ่งชั่วโมง เคาน์เตอร์เช็คอินที่ Terminal 1 Row 8 ก็เปิดให้บริการ ทันทีที่เปิดก็มีผู้โดยสารมาต่อแถวกันพอสมควร เนื่องจากเที่ยวบินระหว่างประเทศของ Thai Lion Air ไม่สามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าได้ จึงแนะนำให้เผื่อเวลาในแผนการเดินทางด้วยนะคะ แม้ช่วงแรกคิวจะดูยาว แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้บริการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หลังผ่านช่วงพีค ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็ทยอยมาเช็คอินแบบสบาย ๆ แทบไม่ต้องรอคิวอีกเลยค่ะ

สำหรับสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่อง ผู้โดยสารแต่ละคนสามารถนำไปได้ 20 กก. โดยเราสองคนมีกระเป๋าคนละ 1 ใบ รวม 2 ใบ ซึ่งขาไปมีน้ำหนักรวมกัน 31.8 กก. ค่ะ หากใครต้องการน้ำหนักเพิ่ม สามารถซื้อได้สูงสุดคนละ 45 กก. โดยแต่ละชิ้นต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 32 กก. นะคะ ที่สำคัญคือกระเป๋าที่โหลดนั้นจะถูก Check-through ไปรับที่ปลายทางนาริตะได้เลย ไม่ต้องโหลดใหม่ที่ไทเปค่ะ

สำหรับกระเป๋า Carry-on ผู้โดยสารแต่ละคนสามารถถือขึ้นเครื่องได้คนละ 1 ชิ้น น้ำหนักไม่เกิน 7 กก. และมีขนาดไม่เกิน 40 x 30 x 20 ซม. ค่ะ ดังนั้น หากใครมีอุปกรณ์จำเป็นต้องใช้ระหว่าง Transit แนะนำให้เก็บไว้ในกระเป๋า Carry-on ด้วยนะคะ

ในการเช็คอิน เจ้าหน้าที่สายการบินจะออก Boarding Pass ให้เรา 2 ใบ ทั้งสำหรับขา BKK-TPE และ TPE-NRT ทำให้เราไม่ต้องผ่านเคาน์เตอร์เช็คอินอีกครั้งเมื่อจะขึ้นเครื่องจากไทเปไปนาริตะ สะดวกมาก ๆ ค่ะ นอกจากนี้ เรายังได้รับ สติ๊กเกอร์ International Transfer วงกลมสีแดงสำหรับติดหน้าอก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่มองเห็นง่ายและอำนวยความสะดวกช่วงเปลี่ยนเครื่องด้วยนะคะ

Boarding Time คือ 05:30 น. ค่ะ แม้ตอนเช็คอินจะมีการแจ้งเตือนเรื่องเที่ยวบินล่าช้า แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามตารางปกติ ไม่มีดีเลย์ค่ะ Gate 15 ซึ่งเป็น Gate ขาไปของเราอยู่ฝั่งซ้ายของสนามบินและค่อนข้างไกล จึงแนะนำให้เผื่อเวลาเดินกันด้วยนะคะ ระหว่างทางภายใน Duty Free มีร้านอาหารและขนมให้เลือกพอสมควร รวมถึงร้านค้าแบรนด์เนมที่แม้จะมีไม่เยอะมาก แต่ราคาดีใช้ได้เลยค่ะ เราไปถึงก่อนเวลาพอสมควร จึงมีเวลาแวะซื้อขนมปังจาก Starbucks มานั่งกิน และเดินเล่นรอขึ้นเครื่องได้สบาย ๆ ราวหนึ่งชั่วโมงค่ะ และสำหรับใครที่ต้องการเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด หรือจะกรอกน้ำใส่ขวดขึ้นเครื่อง ให้เดินเลยประตูเข้า Gate 15 ไปอีกหนึ่งประตู ห้องน้ำจะอยู่ด้านขวามือค่ะ

  • Flight: SL394 
  • Route: Don Mueang (DMK) – Taiwan Taoyuan (TPE) 
  • Departure Time: 6.15 AM 
  • Arrival Time: 11.10 AM 
  • Duration: 3 hour 55 min 
  • Distance: 1,545 Miles 
  • Aircraft: Boeing 787–900ER 
  • Class: Economy

ที่นั่งของเราที่จองมาล่วงหน้าคือ 3E และ 3F ซึ่งอยู่ริมหน้าต่างด้านขวาบริเวณด้านหน้าของเครื่อง เสียดายที่จองฝั่งซ้ายสำหรับชมวิวภูเขาไฟฟูจิไม่ทันค่ะ ที่นั่งมีความสูงและความกว้างได้มาตรฐานและใกล้เคียงกับสายการบินราคาประหยัดอื่น ๆ ส่วนระยะห่างระหว่างเก้าอี้ด้านหน้าสำหรับเราที่สูง 165 ซม. ถือว่ากำลังพอดี ไม่ติดเข่าเลยค่ะ ในช่วงการบินไปไทเป ผู้โดยสารมีจำนวนไม่มากนัก ประมาณสามในสี่ของเครื่อง เนื่องจากจะมีผู้โดยสารขึ้นเครื่องจากไทเปมาเพิ่มเพื่อเดินทางต่อไปยังนาริตะค่ะ

เครื่องบิน Take-Off ก่อนเวลาเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาเดินทางตามตาราง 6:15 น. เราก็อยู่บนท้องฟ้าแล้วค่ะ หลังจากบินมา 3 ชั่วโมง กัปตันก็เริ่มลดระดับเพดานการบินและนำเครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวนได้อย่างปลอดภัย โดยเราเดินทางมาถึงเวลา 10:48 น. ตามเวลาท้องถิ่นไทเป ซึ่งถือว่าทำเวลาได้ดีมากเลยค่ะ

เมื่อเครื่องลงจอด ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน ผู้โดยสารที่ไม่ต่อเครื่องจะเดินแยกกลุ่มออกไป ส่วนพวกเราที่จะต่อเครื่อง เจ้าหน้าที่ก็จะแจกการ์ดสีแดงสำหรับ Transfer ให้ พร้อมนำทางเราไปผ่าน Security Check สำหรับตรวจกระเป๋า Carry-on อีกครั้งค่ะ (หากมีน้ำที่กรอกหรือซื้อมา ต้องเททิ้งก่อนนะคะ) จากนั้นก็สามารถเดินกลับไปที่ Gate A4 เดิมที่ลงเครื่อง เพื่อรอขึ้นเครื่องได้เลย

ขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่ลงเครื่องจนกลับมาถึง Gate รวมถึงแวะเข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เท่านั้นค่ะ ข้อดีของการต่อเครื่องสำหรับเราคือการได้เดินยืดเส้นยืดสาย บรรเทาอาการปวดเมื่อยค่ะ ด้วยระยะทางการเดินจาก Gate A4 ไป Security Check และกลับมาอีกครั้ง น่าจะประมาณ 500 เมตร เหมือนเดินไปหน้าปากซอยแล้วเดินกลับสบาย ๆ เลยค่ะ

ระหว่างทางกลับจะผ่านร้าน Duty Free ช่วงปลายทางของสนามบินเถาหยวนเล็กน้อย แต่เราไม่สามารถซื้อของได้เพราะไม่มีเงินสกุลท้องถิ่นสำหรับใช้จ่าย (แต่หากใครแลกเงินไว้ใน Travel Card ก็สามารถซื้อได้ หากทำเวลาทันนะคะ) ทุกคนอาจจะคิดว่าการต่อเครื่องมีเวลาตั้ง 1 ชั่วโมง แต่จริง ๆ แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ กลับมานั่งรอแค่ 5-10 นาทีก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว เพราะการแวะพักครั้งนี้มีจุดประสงค์หลักเพียงเพื่อรอเครื่องบินเติมน้ำมันเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นกัปตันก็นำเครื่อง Take-Off ขึ้นก่อนเวลาเล็กน้อยเหมือนเดิมค่ะ

  • Flight: SL394 
  • Route: Taiwan Taoyuan (TPE) – Narita (NRT) 
  • Departure Time: 12.10 PM 
  • Arrival Time: 4.30 PM 
  • Duration: 3 hour 20 min 
  • Distance: 1,356 Miles 
  • Aircraft: Boeing 787–900ER 
  • Class: Economy

เที่ยวบินจากไทเปไปนาริตะนั้นใช้ระยะเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 20 นาทีค่ะ การบินค่อนข้างนิ่ง ไม่มีอะไรน่าตกใจ ลูกเรือบริการดีตามมาตรฐาน และในช่วงชั่วโมงสุดท้าย กัปตันก็เริ่มลดระดับการบินและนำเครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะได้อย่างปลอดภัย เราเดินทางมาถึงเวลา 16:25 น. ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการประมาณ 5 นาทีค่ะ แม้การบินตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเย็นจะทำให้เพลียเล็กน้อย เพราะใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งวันเต็ม แต่ก็ทำให้คืนนี้มีเวลาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวตั้งแต่เช้าในวันถัดไปค่ะ

สำหรับการรับกระเป๋าของเที่ยวบิน SL394 จะอยู่ที่สายพาน A3 ค่ะ เราใช้เวลาในการผ่าน ตม. ค่อนข้างนาน เนื่องจากมีผู้โดยสารจากหลายชาติลงเครื่องในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อเราไปถึง กระเป๋าทุกใบจากเครื่องบินของเราก็ถูกนำออกจากสายพานแล้ว และจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบสมกับความเป็นสนามบินในประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ กระเป๋าของเราสองคนก็ถูกจัดวางไว้คู่กันเรียบร้อย ทำให้ไม่ต้องตามหาเลยค่ะ

การเดินทางจากสนามบินสู่ใจกลางเมือง

เราลงเครื่องที่ Terminal 1 North Wing หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว และเดินออกมาเราจะพบบันไดเลื่อนอยู่ด้านหน้าทางขวา ซึ่งจะพาลงไปชั้นใต้ดินสำหรับนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ แต่ถ้าคุณต้องการถอนเงินสดจาก Travel Card เหมือนเรา ให้เดินเลยบันไดเลื่อนไปจนสุดทาง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเดินผ่านเคาน์เตอร์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวไปอีกเล็กน้อย คุณจะเจอกับโซนตู้ ATM หลากหลายแบรนด์เรียงรายอยู่ รวมถึงตู้ ATM ของ SEVEN BANK ที่เราตามหาด้วยค่ะ (สำหรับชั้นใต้ดินนั้นจะไม่มีตู้ SEVEN BANK แต่มีตู้ ATM แบรนด์อื่น ๆ ให้บริการอยู่บ้างนะคะ)

เมื่อกดเงินเสร็จแล้ว คุณสามารถเดินลงบันไดเลื่อนใกล้ตู้ ATM เพื่อไปยังชั้นล่างสุดสำหรับนั่งรถไฟเข้าเมืองได้เลยค่ะ หากกลัวหลง แนะนำให้เดินกลับทางเดิมแล้วมาลงบันไดเลื่อนหลักที่เห็นก่อนหน้านี้ก็ได้ค่ะ เมื่อลงมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ให้เดินตรงไปเล็กน้อยแล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังทางเข้าสถานีรถไฟสาย KEISEI ค่ะ

วันนี้เราเลือกใช้บริการ Narita Sky Access ซึ่งเหมาะกับการเดินทางไปยังสถานีสำคัญในแถบ Southern Tokyo ตู้จำหน่ายตั๋วจะอยู่ด้านซ้ายของทางเข้าสถานีค่ะ เราจะเดินทางไปยัง สถานี Oshiage (Skytree) ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักที่ได้จองไว้ ราคาตั๋วคนละ 1,200 เยน ใช้เวลาเดินทาง 47 นาที และประหยัดกว่า Sky Liner ถึงครึ่งหนึ่งเลยค่ะ (หากเป็น Sky Linerจะใช้เวลา 36 นาทีถึงสถานี Nippori และสุดทางที่สถานี Ueno ใช้เวลา 41 นาที ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางไปแถบ Northern Tokyo)

แม้ว่า Narita Sky Access จะไม่สามารถจองที่นั่งได้และเป็นตู้โดยสารธรรมดาที่มีทั้งคนนั่งและยืน แต่เนื่องจากเราขึ้นตั้งแต่ต้นทาง จึงมั่นใจได้ว่าจะได้นั่งแน่นอน ไม่มีปัญหาค่ะ เมื่อซื้อตั๋วแล้ว ให้เดินตามสัญลักษณ์สีส้ม ทั้งบนพื้น เสา และป้าย เพื่อไปยังชั้นชานชาลาได้เลย โดยรถไฟจาก สถานี Narita Airport Terminal 1 จะจอดอีก 4 สถานีก่อนจะถึง สถานี Oshiage (Skytree) ซึ่งเป็นสถานีที่ 5 ของเราค่ะ สถานีถัดไปคือ สถานี Asakusa ที่โด่งดัง และรถไฟจะวิ่งต่อไปจนถึงสถานีปลายทางที่ Haneda Airport ค่ะ

หลังจากการเดินทางตลอดวัน เราก็ได้เช็คอินเข้าที่พัก ทานอาหารเย็นอร่อย ๆ แช่น้ำให้หายเมื่อยล้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยอันแสนสนุกไปกับ 12 พิกัดเที่ยวโตเกียวช่วง Golden Week อัปเดต 2025 ที่เราตั้งใจคัดสรรมาฝากทุกคนโดยเฉพาะ หากพักผ่อนจนมีแรงแล้ว ก็มาลุยไปกับเราได้เลย!


พิกัดที่ 1 : ดำดิ่งสู่ผืนน้ำแห่งจินตนาการที่ “โตเกียวดิสนีย์ซี” แห่งเดียวในโลก! (Tokyo DisneySea)

เมืองอุรายาสุ จ.ชิบะ (Urayasu, Chiba)

Tokyo DisneySea เป็น 1 ใน 2 สวนสนุกสุดยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายใน Tokyo Disney Resort เคียงข้าง Tokyo Disneyland โดดเด่นด้วยธีมการสำรวจโลกใต้ทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เนรมิตผืนน้ำกว้างใหญ่และดินแดนอันแสนมหัศจรรย์เพื่อมอบความทรงจำที่ไม่มีวันลืมให้กับผู้มาเยือน ด้วยการออกแบบที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้ใหญ่มากกว่า Tokyo Disneyland จึงเต็มไปด้วยเครื่องเล่นแนวแอดเวนเจอร์สุดระทึก ชวนตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งอ้างอิงจากภาพยนตร์ นิทาน และเรื่องราวการผจญภัยที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรทั่วโลก โดยมีบรรยากาศที่สมจริงในทุกรายละเอียด ราวกับหลุดเข้าไปในสถานที่จริง ไม่ใช่เพียงฉากการ์ตูน พร้อมอบอวลไปด้วยความโรแมนติก และร้านอาหารหรูหราที่หลากหลาย ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าแค่สวนสนุกทั่วไป

เอกลักษณ์เฉพาะ : ไร้ปราสาท สู่ภูเขาไฟแห่งจินตนาการ และ 8 ท่าเรือมหัศจรรย์

สิ่งที่ทำให้ Tokyo DisneySea แตกต่างจากสวนสนุกดิสนีย์อื่นๆ ทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัดคือ การไม่มีปราสาทดิสนีย์ตระหง่านอยู่ใจกลาง แต่กลับแทนที่ด้วยทะเลสาบขนาดใหญ่ที่โอบล้อม ภูเขาไฟโพรมีธีอุส (Mount Prometheus) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของสวนสนุกแห่งนี้ โดยสวนสนุกถูกจำลองให้เป็นท่าเรือเมดิเตอเรเนียน และแบ่งออกเป็น 8 โซนหลัก ที่เรียกว่า “ท่าเรือ” (Ports of Call) ซึ่งแต่ละแห่งมีธีมและสถาปัตยกรรมเฉพาะตัว

  1. Mediterranean Harbor : ท่าเรือทางเข้าที่จำลองบรรยากาศเมืองท่าทางตอนใต้ของยุโรป
  2. American Waterfront : จำลองบรรยากาศท่าเรือและเมืองของสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 รวมถึงการนำเสนอเรื่องราวของ “Tower of Terror” และ “Toy Story”
  3. Port Discovery : ท่าเรือแห่งอนาคตที่ผสมผสานวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ
  4. Lost River Delta : โซนผจญภัยในป่าลึกจากภาพยนตร์ชุด “Indiana Jones”
  5. Arabian Coast : ดินแดนแห่งเทพนิยายอาหรับจาก “One Thousand and One Arabian Nights” (พันหนึ่งราตรี หรือ อาหรับราตรี) และ “Aladdin” (อะลาดิน)
  6. Mermaid Lagoon : อาณาจักรใต้ทะเลที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “The Little Mermaid” (เงือกน้อยผจญภัย)
  7. Mysterious Island : ดินแดนลึกลับในนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ จูลส์ เวิร์น (Jules Verne) ตั้งอยู่ภายในภูเขาไฟโพรมีธีอุสที่เป็นสัญลักษณ์ของสวนสนุก
  8. Fantasy Springs : โซนใหม่ล่าสุด เปิดให้บริการในปี 2024 รวบรวมโลกของ “Frozen”, “Tangled” และ “Peter Pan” ไว้ด้วยกัน
การเดินทางไป Tokyo DisneySea

การเดินทางไป Tokyo DisneySea นั้นมีหลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถบัส แท็กซี่ หรือแม้แต่การขับรถส่วนตัวแต่สำหรับทริปนี้ วิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดคงหนีไม่พ้น “การเดินทางด้วยรถไฟ” ซึ่งจะพาคุณไปถึงประตูสวนสนุกได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นที่สุด โดยการเดินทางด้วยรถไฟจะมีอยู่ 4 ขั้นตอน ดังนี้

  1. การเดินทางจาก สถานีรถไฟใกล้ที่พัก –> สถานี JR Maihama
  2. เดิน (เลี้ยวซ้าย) 110 เมตร จาก สถานี JR Maihama –> สถานี Resort Gateway
  3. *การเดินทางจาก สถานี Resort Gateway –> สถานี Tokyo DisneySea ด้วยรถไฟ Disney Resort Line ใช้เวลาประมาณ 9 นาที
  4. เดิน (เลี้ยวซ้ายหรือขวาก็ได้ สวนสนุกมีทางเข้า 2 ทาง) 70 เมตร จาก สถานี Tokyo DisneySea –> Tokyo DisneySea

*อัตราค่าโดยสารจาก สถานี Resort Gateway –> สถานี Tokyo DisneySea รายเที่ยว สำหรับผู้ใหญ่ 300 เยน และเด็ก 150 เยน นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายตั๋วรถไฟแบบ 1 Day Pass สำหรับผู้ใหญ่ 700 เยน และเด็ก 350 เยน หรือตั๋วรถไฟแบบ 2 Day Pass สำหรับผู้ใหญ่ 900 เยน และเด็ก 450 เยน อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม : Tokyo DisneySea
  • ที่ตั้ง : 1-13 Maihama, Urayasu, Chiba 279-8511 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/XHRLTi1oJ5bumKwj8
  • เวลาทำการ : 9.00 น.-21.00 น.
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 4-5330-5211
  • เว็บไซต์หลักของโตเกียวดิสนีย์ซี : https://www.tokyodisneyresort.jp/tds/

พิกัดที่ 2 : ชมวิวจากหอคอยกระจายสัญญาณที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น “โตเกียวสกายทรี” (Tokyo Skytree)

เมืองซุมิดะ จ.โตเกียว (Sumida, Tokyo)

สัมผัสความยิ่งใหญ่ของมหานครโตเกียวจากมุมมองที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ณ Tokyo Skytree หอคอยสูง 634 เมตร เป็นหอคอยกระจายสัญญาณที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และยังได้รับการรับรองจาก Guinness World Records เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2011 ให้เป็น “หอคอยที่สูงที่สุดในโลก” ที่นี่ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น แต่เป็นประตูสู่ทัศนียภาพพาโนรามา 360 องศา ที่จะสะกดทุกสายตาให้หลงใหล!

Tokyo Skytree เป็นจุดชมวิวเลื่องชื่อในหมู่นักท่องเที่ยว และเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นยุคใหม่ ที่แสดงถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม นอกจากบทบาทดังกล่าวแล้ว หอคอยแห่งนี้ยังมีหน้าที่สำคัญในการส่งสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการส่งสัญญาณได้ถึง 2 เท่า รวมถึงลดผลกระทบจากตึกสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งยังมุ่งหวังที่จะเป็นหอคอยเตือนภัยพิบัติในยามฉุกเฉินอีกด้วยค่ะ

จุดชมวิว Tembo Deck (ชั้น 350 เมตร)

เริ่มต้นประสบการณ์การชมวิวสุดประทับใจของคุณที่ Tembo Deck ซึ่งตั้งอยู่สูงจากพื้นดินถึง 350 เมตร (1,148 ฟุต) ชั้นนี้คือจุดชมวิวหลักที่มีพื้นที่กว้างขวาง โดดเด่นด้วยกระจกแก้วขนาดใหญ่กว่า 5 เมตร ที่เปิดโล่งให้คุณมองเห็นทัศนียภาพของโตเกียวได้ไกลสุดลูกหูลูกตาถึง 70 กิโลเมตร! มีกล้องโทรทัศน์ดิจิทัลความละเอียดสูงไว้คอยให้บริการ และห้ามพลาดเก็บภาพประทับใจที่จุดถ่ายภาพที่ระลึกนะคะ

จุดชมวิว Tembo Galleria (ชั้น 450 เมตร)

หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์การชมวิวที่สูงขึ้นไปอีกขั้น ต้องขึ้นไปที่ Tembo Galleria ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินถึง 450 เมตร (1,476 ฟุต) ชั้นนี้ถูกออกแบบให้เป็นทางเดินกระจกทรงท่อระยะทาง 110 เมตร ที่ค่อยๆ วนขึ้นไปจากชั้น 445 เมตร ไปยังจุดที่สูงที่สุด Sorakara Point ซึ่งอยู่ที่ความสูง 451.2 เมตรเหนือพื้นดิน มอบความรู้สึกราวกับคุณกำลังเดินอยู่บนอากาศอย่างแท้จริง ยิ่งคุณก้าวเดินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ทัศนียภาพของมหานครโตเกียวก็จะยิ่งกว้างใหญ่และน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมหรือบริการพิเศษตามฤดูกาลหมุนเวียนกันจัดขึ้นให้ได้ร่วมสนุกด้วยค่ะ และอย่าลืมแวะเก็บภาพความประทับใจที่จุดถ่ายภาพอีกแห่งบนชั้น 445 เมตรนะคะ

ไฮไลท์และนิทรรศการพิเศษ : Detective Conan x Tokyo Skytree

แฟนๆ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ห้ามพลาดเด็ดขาด! นิทรรศการ Detective Conan x Tokyo Skytree จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 เมษายน – 14 กรกฎาคม 2025 เท่านั้น ภายในงาน คุณจะได้เพลิดเพลินกับจุดถ่ายรูปพิเศษถึง 7 ตำแหน่ง รอบ Tembo Galleria พร้อมชมภาพวิดีโอพิเศษความยาว 6 นาทีของ ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ บนหน้าจอพาโนรามาอันทรงพลังที่ชั้น 350 เมตร ของ Tembo Deck พร้อมกิจกรรมถ่ายภาพที่ระลึกกับ Sorakara-chan มาสคอตประจำสกายทรีในชุด Edogawa Conan รวมถึงเฟรมถ่ายภาพพิเศษกับตัวละครในเรื่อง ณ จุดถ่ายภาพที่ระลึก! นอกจากนี้ในยามค่ำคืน ยังมีการแสดงแสงไฟประดับสีพิเศษเพื่อเพิ่มบรรยากาศน่าตื่นตาตื่นใจ และอย่าลืมรับสมุดร่วมกิจกรรมสะสมแสตมป์ 3 ใบ เพื่อรับสติกเกอร์ต้นฉบับจำนวนจำกัด ฟรี! ก่อนกลับแวะช้อปสินค้าธีมโคนันสุดพิเศษ รวมถึงลิ้มลองเมนูจำกัดเวลาที่ Skytree Cafe ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนด้วยนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมพิเศษ : https://www.tokyo-skytree.jp/event/special/conan/

การเดินทางไป Tokyo Skytree

Tokyo Skytree ตั้งอยู่ใน Tokyo Skytree Town การเดินทางที่สะดวกและแนะนำที่สุดคือ รถไฟ หรือ รถบัส Skytree Shuttle® ซึ่งมีบริการจากจุดสำคัญต่างๆ ทั่วเมือง โดยหากคุณเลือกเดินทางด้วยรถไฟ จะมี 2 สถานีหลักที่จะพาคุณมาถึงแลนด์มาร์คสูงเสียดฟ้าแห่งนี้

การเดินทางด้วยรถไฟ
  1. มาที่ สถานี Tokyo Skytree (TS02) ด้วยรถไฟ TOBU SKYTREE Line
  2. มาที่ สถานี Oshiage (SKYTREE) ด้วยรถไฟจากหลายเส้นทาง โดยมีรหัสสถานีแตกต่างกัน แต่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
    • สถานี Oshiage (SKYTREE) TS03 ด้วยรถไฟ TOBU SKYTREE Line
    • สถานี Oshiage (SKYTREE) KS45 ด้วยรถไฟ Keisei Line
    • สถานี Oshiage (SKYTREE) Z14 ด้วยรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro Hanzomon Line
    • สถานี Oshiage (SKYTREE) A20 ด้วยรถไฟใต้ดิน Toei Asakusa Line
การเดินทางด้วยรถบัส Skytree Shuttle®

คุณสามารถใช้บริการ Skytree Shuttle® ซึ่งเป็นรถประจำทางที่ให้บริการเส้นทางไป-กลับระหว่าง TOKYO SKYTREE TOWN กับสถานที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ สนามบิน Haneda, สถานี JR Ueno, วัด Sensoji และ “TOKYO DISNEY RESORT®” ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่แสนสะดวกสบายหากคุณเดินทางจากละแวกเหล่านี้ โดยค่าโดยสารจะแตกต่างกันไปตามเส้นทาง และจะคิดเพียงครึ่งราคาสำหรับเด็ก

ข้อมูลเพิ่มเติม : Tokyo Skytree
  • ที่ตั้ง : 1 Chome-1-2 Oshiage, Sumida City, Tokyo 131-0045 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/dB9TGjqPwoiMJ26R9
  • วัน-เวลา ทำการ : 10.00 น.-22.00 น. (วันจันทร์-วันศุกร์), 9.00 น.-22.00 น. (วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 5-7055-0634 (10.00 น.-18.00 น.)
  • หากโทรจาก VoIP หรือโทรระหว่างประเทศ : 03-6700-4822
  • เว็บไซต์หลักของโตเกียวสกายทรี (ภาษาอังกฤษ) : https://www.tokyo-skytree.jp/en/

พิกัดที่ 3 : สวรรค์ของนักล่าสมบัติ “ตลาดนัดสนามม้า” ณ สนามม้าโตเกียว (Tokyo City Flea Market/Oi Racecourse Flea Market)

เมืองชินากาวะ จ.โตเกียว (Shinagawa, Tokyo)

Tokyo City Flea Market จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ณ สนามม้าโตเกียว (Oi Racecourse Paddock) ตั้งแต่เวลา 9.00-14.30 น. อย่างไรก็ตาม เพื่อประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ครบครันที่สุด เราขอแนะนำให้คุณมาถึงช่วงก่อนเที่ยง เพราะร้านค้าส่วนใหญ่มักจะยังอยู่ครบ และคุณจะมีโอกาสได้เลือกชมสินค้าก่อนใคร จำไว้ว่า “ใครมาก่อนได้ก่อน” คือหัวใจของการเดินตลาดนัด! ที่นี่มีร้านค้ามากมายนับร้อย (บางครั้งมากถึง 600 ร้าน!) กระจายตัวอยู่รอบลานจอดรถของสนามม้า ซึ่งเป็นพื้นที่โครงเหล็กอันเป็นเอกลักษณ์ ที่มีแสงสว่างสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปเป็นที่สุด

สินค้าที่นี่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี คุณจะได้พบกับเสื้อผ้าวินเทจเก๋ๆ ที่เป็นไฮไลต์สำคัญ ไปจนถึงสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ของใช้คุณภาพดี และของสะสมหายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเล่น เกม หรือฟิกเกอร์ทั้งรุ่นเก่าและใหม่ล่าสุด พร้อมให้คุณได้แสดงฝีมือในการต่อรองราคาอย่างสนุกสนานกับพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นกันเอง (ลองต่อดูในราคาที่พอเหมาะพอดีนะคะ) และอย่าลืมพกเงินสดไปให้พร้อม เพราะแม้บางร้านจะรับบัตรเครดิตหรือ Travel Card แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้านที่รับ นอกจากสินค้าโดนใจแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมรถขายอาหารอร่อยๆ ที่น่าสนใจ ให้คุณได้ลิ้มลองสตรีทฟู้ดทั้งญี่ปุ่นและนานาชาติหลากหลายเมนู เมื่อได้ของอร่อยมาแล้ว ก็สามารถหาที่นั่งหลบแดดทานอาหารได้เลยค่ะ (แนะนำให้มองหาที่นั่งในร่ม เพราะแดดอาจจะจ้ามาก!) และที่สำคัญ อย่าลืมช่วยกันรักษาความสะอาด ทิ้งขยะในที่ที่จัดไว้ให้เรียบร้อย โดยส่วนใหญ่สามารถนำขยะกลับไปทิ้งที่หน้าร้านที่คุณซื้อได้เลย และแอบกระซิบว่าที่นี่ยังเป็นรันเวย์แฟชั่นย่อมๆ เพราะมีผู้คนแต่งตัวมีสไตล์มารวมตัวกันมากมาย ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการ “ชมแฟชั่น” ไปในตัวอีกด้วย

การเดินทางไป Tokyo City Flea Market

การเดินทางไป Tokyo City Flea Market เราขอแนะนำ 2 สถานีรถไฟที่สะดวก ดังนี้ โดยเราเลือกวิธีแรกในการเดินทางจริง เพราะที่พักของเราไม่ใกล้กับสถานีของรถไฟ Tokyo Monorail ค่ะ โดยระหว่างทางจะมีป้ายจัดงานอยู่ตามเสาไฟ ไม่หลงแน่นอนค่ะ

  1. มาที่ สถานี Tachiaigawa (KK6) บนรถไฟ Keikyū Main Line (ออกจากสถานีแล้วให้เดินไปทางซ้ายค่ะ) แล้วเดินต่อ 700 เมตร
  2. มาที่ สถานี Ōikeibajōmae (MO0) บนรถไฟ Tokyo Monorail แล้วเดินต่อ 450 เมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : Tokyo City Flea Market
  • ที่ตั้ง : 2 Chome-1 Katsushima, Shinagawa City, Tokyo 140-0012 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/RNen77Ka5Xa76qkz5
  • วัน-เวลา ทำการ : ทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ที่อากาศดี เวลา 9.00 น.-14.30 น. (ร้านค้าทะยอยเก็บร้านในเวลาที่ต่างกัน)
  • เว็บไซต์หลัก พร้อมตารางวันทำการที่แน่นอน : https://trx.jp

พิกัดที่ 4 : “นากาโนะบรอดเวย์” ขุมทรัพย์ของสายอนิเมะ และสวรรค์ของนาฬิกาหรู (Nakano Broadway)

เมืองนากาโนะ จ.โตเกียว (Nakano, Tokyo)

Nakano Broadway กลายเป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวัฒนธรรมย่อย” (Subculture) อย่างแท้จริงในช่วงหลังฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแตกในปี 1991 จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเข้ามาของร้าน Mandarake ซึ่งปัจจุบัน มีอยู่มากถึง 33 สาขากระจายตัวอยู่รอบตึก ที่นี่โดดเด่นด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างร้านค้าดั้งเดิมที่ให้บริการคนท้องถิ่น และร้านค้าที่เน้นวัฒนธรรมย่อย ทำให้เกิดบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “สามารถหาอะไรก็ได้จากที่นี่!”

ที่นี่คุณจะพบกับไอเทมของสะสมทุกประเภทจากทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็น ฟิกเกอร์อนิเมะ-มังงะ, ตุ๊กตา, พวงกุญแจ, หนังสือการ์ตูน, นิตยสาร, วิดีโอเกม, การ์ดเกมส์, รูปภาพ, โปสเตอร์ของเหล่าไอดอลชาย-หญิง, ชุดคอสเพลย์ และของเล่นวินเทจรวมถึงของสะสมจากภาพยนตร์ดังอย่าง “Star Wars” หรือ “Marvel Comics” สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาหรู ที่นี่มีร้านค้าเฉพาะทางนาฬิกาจำนวนมาก ตลอดจนกล้องถ่ายรูป, สินค้าแบรนด์เนม และอัญมณี ที่นี่คือจุดรวมสินค้าที่เหล่านักสะสมต้องการ และหลายชิ้นเป็นของหายากที่อาจหาไม่ได้จากที่อื่นในโลก นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่จัดอีเวนต์โชว์ผลงานของศิลปินหน้าใหม่ และสถานที่แห่งนี้ยังปรากฏอยู่ในเกม เช่น Digimon Story: Cyber Sleuth – Hacker’s Memory (2018) อีกด้วย ซึ่งทำให้ Nakano Broadway เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติและบรรยากาศคึกคักมากยิ่งขึ้น

ชั้น B1: พบกับซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลสดใหม่ในราคาที่เข้าถึงง่าย รวมถึงร้านขายของใช้ในชีวิตประจำวันและร้านอาหาร ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่น

ชั้น 1F-4F: สวรรค์ของนักสะสม! เต็มไปด้วยร้านขายของสะสมหายากและสินค้ามือสองมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกี่ยวกับอนิเมะและนาฬิกาหรู นอกจากนี้ยังมีแกลเลอรี คาเฟ่ และเกมเซ็นเตอร์ให้ได้สำรวจกัน

ข้อมูลร้านและสินค้าที่จำหน่ายของร้าน Mandarake Nakano : https://www.mandarake.co.jp/dir/nkn/index-en.html#googtrans(ja|en)

การเดินทางไป Nakano Broadway

คุณสามารถเดินทางมายัง สถานี Nakano ได้ด้วยรถไฟจาก 3 เส้นทาง เมื่อมาถึง ให้ใช้ ทางออกทิศเหนือ (North Exit) แล้วเดินผ่านถนนช้อปปิ้ง Nakano Sun Mall ประมาณ 260 เมตร คุณก็จะถึงจุดหมาย

  1. มาที่ สถานีรถไฟใต้ดิน Nakano (T01) ด้วยรถไฟ Tozai Line
  2. มาที่ สถานีรถไฟ JR Nakano (JC06) ด้วยรถไฟ Chūō Line
  3. มาที่ สถานีรถไฟ JR Nakano (JB07) ด้วยรถไฟ Chūō-Sōbu Line(Local)
ข้อมูลเพิ่มเติม : Nakano Broadway
  • ที่ตั้ง : 5 Chome-52-15 Nakano, Nakano City, Tokyo 164-0001 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/QGN32TQybqBxTWK8A
  • เวลาทำการ : 10.00 น.-20.00 น.
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 3-3388-7004
  • เว็บไซต์หลักของ Nakano Broadway : https://nakano-broadway.com

พิกัดที่ 5 : “ย่านชิโมะคิตาซาวะ” ย่านอินดี้สุดอาร์ต ที่สายฮิปต้องมาเช็คอิน! (Shimokitazawa)

เมืองเซตางายะ จ.โตเกียว (Setagaya, Tokyo)

ชิโมะคิตะซาวะ (Shimokitazawa) หรือที่ผู้คนนิยมเรียกว่า “ชิโมะคิตะ” เป็นย่านทางตะวันตกของโตเกียวที่มีสถานีรถไฟเป็นจุดศูนย์กลาง บริเวณจุดตัดของรถไฟสาย Keio และ Odakyu เดิมทีเป็นเพียงพื้นที่เกษตรกรรมที่รอดพ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานจนเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นตลาดกลางของทหารหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นอายตะวันตกที่แตกต่างจากย่านอื่น ๆ ชิโมะคิตะซาวะได้หล่อเลี้ยง วัฒนธรรมย่อย (Subculture) ของโตเกียวมาตั้งแต่ช่วงปี 1970 โดยมักเป็นเวทีสำหรับศิลปินก่อนที่จะโด่งดังในสื่อกระแสหลัก จนปัจจุบัน ย่านชิโมะคิตะจึงแข็งแกร่งในฐานะ “ศูนย์รวมของวัฒนธรรมย่อย” ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปะ ดนตรี และความคิดสร้างสรรค์

สำหรับผู้หลงใหลในแฟชั่น ชิโมะคิตะซาวะคือจุดหมายที่ไม่ควรพลาด ที่นี่คือสวรรค์ของเสื้อผ้ามือสองและของวินเทจหายาก ซึ่งมีคุณภาพดีในราคาที่สามารถเข้าถึงง่าย ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความเป็นตัวเองผ่านสไตล์ที่หลากหลาย โดยไม่ยึดติดแบรนด์หรือเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเดินเลือกชมสินค้าในร้านค้าท้องถิ่นเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่การช้อปปิ้ง แต่ยังเป็นการดื่มด่ำและบ่มเพาะสไตล์ เพื่อค้นพบความเป็นตัวตนไปพร้อมกับการสัมผัสเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละชิ้นงานอย่างแท้จริง

นอกเหนือจากแฟชั่นแล้ว ชิโมะคิตะซาวะยังเป็นแหล่งรวมศิลปะและความบันเทิงอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร หอศิลป์ แกลเลอรีขนาดเล็ก ไลฟ์เฮาส์ เวทีการแสดงสด ร้านแผ่นเสียงอิสระ ร้านกินดื่มอิซากายะ และคาเฟ่น่านั่งมากมาย บรรยากาศโดยรวมของย่านนี้สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่พลุกพล่านเหมือนย่านการค้าขนาดใหญ่ ทั้งยังโดดเด่นด้วยมุมที่เหมาะต่อการถ่ายภาพทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้ย่านนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มวัยรุ่น แม้ร้านค้าส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วง 11.00น. ทว่าผู้คนกลับนิยมเดินทางมามากที่สุดในช่วงเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์

การเดินทางไป Shimokitazawa

โดยสามารถมาที่สถานีด้วยรถไฟจาก 2 เส้นทาง คือ

  1. มาที่ สถานี Shimo-Kitazawa (OH07) ด้วยรถไฟ Odakyu Line (ใช้เวลา 7-10 นาที จากสถานี Shinjuku (Odakyu))
  2. มาที่ สถานี Shimo-Kitazawa (IN05) ด้วยรถไฟ Keio Inokashira Line (ใช้เวลา 6 นาที จากสถานี Shibuya)
ข้อมูลเพิ่มเติม : Shimokitazawa

พิกัดที่ 6 : “Toyosu Edo-mae” แหล่งรวมความอร่อยแห่งใหม่ ที่ตลาดปลาโทโยสุ! ชวนลิ้มรสเมนูสดใหม่ ในบรรยากาศย้อนยุค

เมืองโคโต จ.โตเกียว (Koto, Tokyo)

ตลาด Toyosu Edo-mae หรือ Toyosu Jogai Edomae Ichiba จะพาคุณย้อนยุคสู่บรรยากาศญี่ปุ่นสมัยเอโดะสุดคลาสสิก ที่นี่คืออาณาจักรอาหารและความบันเทิง 3 ชั้น ซึ่งรวบรวมสุดยอดของอร่อยแห่งโตเกียวไว้ให้คุณได้ลิ้มลอง ทั้งอาหารทะเลสดใหม่ส่งตรงจากตลาดปลาโทโยสุที่อยู่ติดกัน เมนูสไตล์เอโดะแท้ๆ อย่างซูชิและปลาไหลจากร้านดังในเขตโคโตะ รวมถึงเมนูจากวัตถุดิบตามฤดูกาลที่จะปลุกความอยากอาหารของคุณให้เพิ่มขึ้น

ภายใน Toyosu Jogai Edomae Ichiba คุณจะได้พบกับ:

  • Toyosu Menuki Odori (ชั้น 2F) : ถนนกลางแจ้งสุดคึกคักที่เชื่อมต่อกับสกายวอล์คจากสถานีรถไฟ ที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหารน่าลองเรียงราย การปรุงอาหารสดใหม่ตรงหน้าเสมือนการแสดง ทั้งเสียงกระทะฉ่าๆ และกลิ่นหอมหวนเย้ายวนใจ จนยากจะอดใจไหว มีหอระฆังเป็นจุดเด่นให้เราแวะถ่ายรูป แถมยังมีพื้นที่นั่งสบายๆ ให้แวะพักเติมพลังด้วยนะคะ
  • Mekiki Yokocho (ชั้น 2F) : ตรอกแห่งอาหารและวัตถุดิบเลิศรสที่ตั้งอยู่ภายในอาคาร คุณจะได้พบกับร้านกาแฟหอมๆขนมหวานแสนอร่อย เครื่องปรุงรส เครื่องเคียง ไปจนถึงผลไม้สดๆ ส่งตรงจากสวน
  • Food Court (ชั้น 3) : พบกับศูนย์อาหารหลากหลายที่มีเมนูให้เลือกเพียบ ทั้งราเมงร้อนๆ ซูชิปั้นสดใหม่ ข้าวหน้าอาหารทะเล และยากินิกุหอมฉุย รับรองว่าฟินทุกเมนูค่ะ
การเดินทางไป Toyosu Edo-mae

สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไป Toyosu Senkyaku Banrai เรามีสถานีรถไฟที่แนะนำอยู่ 2 แห่ง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ดังนี้

  1. เดินทางมาที่สถานี Shijo-Mae (U14) ด้วยรถไฟ Yurikamome Line แล้วเดินต่อบนสกายวอล์คประมาณ 200 เมตร
  2. เดินทางมาที่สถานี Shin-Toyosu (U15) ด้วยรถไฟ Yurikamome Line แล้วเดินต่อประมาณ 700 เมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : Toyosu Edo-mae
  • ที่ตั้ง : 6 Chome-5-1 Toyosu, Koto City, Tokyo 135-0061 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/4Ycjdm5zcpXMNQQQA
  • เวลาทำการ :
    • โซนร้านค้า = 10.00 น.-18.00 น.
    • ร้านขายของที่ระลึก ชั้น 2F = 10.00 น.-19.00 น.
    • โซนร้านอาหาร ชั้น 1F-2F = 10.00 น.-22.00 น. (บางร้านปิด 21.00 น.)
    • ตรอก Mekiki Yokocho = 10.00 น.-18.00 น.
    • ศูนย์อาหาร ชั้น 3F = 10.00 น.-20.00 น.
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 3-3533-1515
  • เว็บไซต์หลัก : https://www.toyosu-senkyakubanrai.jp/languages/en/

พิกัดที่ 7 : “teamLab Planets TOKYO” ดิ่งสู่โลกศิลปะดิจิทัลเหนือจินตนาการ

เมืองโคโต จ.โตเกียว (Koto, Tokyo)

teamLab Planets TOKYO คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร สร้างสรรค์โดย teamLab กลุ่มศิลปินนานาชาติผู้ก่อตั้งในปี 2001 ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศิลปะ, วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, และธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป้าหมายของพวกเขาคือการทลายขอบเขตการรับรู้ระหว่างตนเองกับโลกและความต่อเนื่องของกาลเวลา เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์อันไร้ขอบเขต และก้าวข้ามขีดจำกัดของการรับรู้แบบเดิมๆ เพื่อค้นพบความงดงามในรูปแบบใหม่ๆ

ที่นี่นำเสนอแนวคิด “Body Immersive” โดยเชื้อเชิญให้ผู้เข้าชมได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งศิลปะ เพื่อปลุกทุกประสาทสัมผัสในการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การสัมผัส หรือการฟัง คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจ เช่น การเดินลุยผ่านผืนน้ำ, สัมผัสพื้นผิวที่นุ่มนิ่ม, แหวกว่ายไปในทะเลดอกไม้ดิจิทัลที่พลิ้วไหว, หรือโอบล้อมด้วยแสง สี และเสียงอันตระการตา ผลงานจัดแสดงทุกชิ้นถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนแปลงและโต้ตอบกับการมีอยู่ของผู้คน ทำให้เส้นแบ่งระหว่างงานศิลปะ ร่างกายของคุณ และผู้อื่นจางหายไป คุณจะรู้สึกเหมือนได้ดำดิ่ง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับงานศิลปะ และเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแห่งศิลปะอันไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง

teamLab Planets TOKYO เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและประสบการณ์อันล้ำค่า ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “สถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ประจำปี 2023 (Asia’s Leading Tourist Attraction 2023)” จาก World Travel Awards ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลในประเภทนี้ ทว่าความน่าเสียดายคือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ใช่นิทรรศการถาวร และจะเปิดให้เข้าชมไปจนถึงช่วงสิ้นปี 2027 เท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่สนใจจึงไม่ควรพลาดโอกาสนี้!

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบอาร์ตๆ ในโตเกียว ที่สามารถเข้าชมได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน teamLab Planets TOKYO คือพิพิธภัณฑ์ที่คุณต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต แนะนำให้ จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า เพื่อระบุรอบเข้าชม โดยจะได้รับตั๋วในรูปแบบ QR Code เพื่อแสดงกับเจ้าหน้าที่และสแกนบริเวณทางเข้า ซึ่งสะดวกกว่าและช่วยให้มั่นใจว่าจะมีรอบเข้าชมตามต้องการ เมื่อพร้อมแล้ว ก็เตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพและวิดีโอให้พร้อม แล้วไปสำรวจประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ข้างในกันได้เลย!

การเดินทางไป teamLab Planets TOKYO

สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไป teamLab Planets TOKYO เรามีสถานีรถไฟที่แนะนำอยู่ 2 แห่ง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ดังนี้

  1. เดินทางมาที่สถานี Shin-Toyosu (U15) ด้วยรถไฟ Yurikamome Line แล้วเดินต่อประมาณ 69 เมตร หรือ
  2. เดินทางมาที่สถานี Shijo-Mae (U14) ด้วยรถไฟ Yurikamome Line แล้วเดินต่อประมาณ 550 เมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : teamLab Planets TOKYO
  • ที่ตั้ง : 6 Chome-1-16 Toyosu, Koto City, Tokyo 135-0061 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/FCHiTm5UPwdSbaMW7
  • ระยะเวลาที่จัดแสดง : 7 กรกฎาคม 2018 – สิ้นปี 2027
  • วันหยุด : วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน และ 10 กรกฎาคม
  • เวลาทำการ : 9.00 น.-22.00 น.
  • เว็บไซต์หลักของ teamLab Planets TOKYO : https://www.teamlab.art/th/e/planets/

พิกัดที่ 8 : “teamLab Borderless TOKYO” ทะลายกำแพงศิลปะสู่โลกไร้ขอบเขต

เมืองมินาโตะ จ.โตเกียว (Minato, Tokyo)

MORI Building DIGITAL ART MUSEUM: teamLab Borderless คือพิพิธภัณฑ์ไร้แผนที่ที่จะพาคุณมุ่งสู่ จักรวาลแห่งศิลปะไร้ขอบเขต (Borderless) เดิมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยอยู่ที่โอไดบะตั้งแต่ปี2018 และโด่งดังจนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ก่อนจะย้ายมาเปิดใหม่ที่ Azabudai Hills เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2024 การกลับมาครั้งนี้มาพร้อมผลงานศิลปะใหม่ ที่ผสานเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว โปรแกรม แสงสี คอมพิวเตอร์กว่า 520 เครื่อง และโปรเจกเตอร์ 470 ตัว เนรมิตพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตรให้เป็นโลกดิจิทัล 360 องศาที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่นี่คุณไม่ใช่แค่ผู้ชม แต่คือส่วนหนึ่งของงานศิลปะที่โต้ตอบและมีอิทธิพลต่อกัน สร้างประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภายใน teamLab Borderless คุณจะได้สำรวจ ค้นพบ และสร้างสรรค์โลกใหม่ไปพร้อมผู้อื่น เพราะงานศิลปะดิจิทัลรอบตัวสามารถเคลื่อนไหวอิสระจากห้องหนึ่งไปอีกห้อง ผสมผสานและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ราวกับเขาวงกตที่ไม่มีเส้นทางตายตัว ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีเส้นแบ่งกั้น คุณจะได้ออกตามล่าผลงานที่เคลื่อนไหวบนพื้น ผนัง เพดาน และสัมผัสงานศิลปะที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของคุณ คุณอาจจะหลงทางและพบกับห้องลับที่ซ่อนอยู่ สร้างความประหลาดใจและประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิมในทุกครั้งที่กลับมา ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สนุกสนานและน่าหลงใหลสำหรับทุกวัย

เพื่อประสบการณ์เต็มอิ่ม เราแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อย 2-4 ชั่วโมง ที่นี่ไม่มีการจำกัดเวลาเข้าชม คุณจึงสามารถสำรวจได้อย่างเต็มที่จนถึงเวลาปิดทำการ teamLab Borderless คือเขาวงกตแห่งศิลปะที่คุ้มค่าแก่การหลงทาง หากคุณต้องการเข้าห้องน้ำ เราแนะนำให้ถามทางจากเจ้าหน้าที่ เพราะคุณอาจจะเสียเวลาในการค้นหาพอสมควรเลยค่ะ

teamLab คือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติที่ประกอบด้วยศิลปิน โปรแกรมเมอร์ วิศวกร แอนิเมเตอร์ CG นักคณิตศาสตร์ และสถาปนิก ซึ่งรวมตัวกันตั้งแต่ปี 2001 ก่อตั้งโดย Toshiyuki Inoko และเพื่อน พวกเขาเริ่มต้นเส้นทางสายศิลปะจากการได้รับเชิญไปแสดงผลงานใน Singapore Biennale ปี 2011 และเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีผลงานจัดแสดงทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในปี 2016 ปัจจุบัน teamLab มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลในโตเกียว 2 แห่งคือ teamLab Borderless และ teamLab Planets รวมถึงผลงานในเมืองอื่นๆ เช่น teamLab Botanical Garden ที่โอซาก้า, teamLab Forest ที่ฟุกุโอกะ, และ teamLab Acorn Forest ที่ไซตามะ และกิจกรรมชั่วคราวอื่นๆ อีกมากมาย

การเดินทางไป teamLab Borderless: MORI Building DIGITAL ART MUSEUM

เดินทางมาที่สถานี Kamiyachō (H05) ด้วยรถไฟใต้ดิน Hibiya Line แล้วเดินต่อประมาณ 70 เมตร

ข้อมูลเพิ่มเติม : teamLab Borderless TOKYO
  • ที่ตั้ง : ญี่ปุ่น 〒106-0041 Tokyo, Minato City, Toranomon, 5 Chome−9 Azabudai Hills Garden Plaza B, B1
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/kfBCyhWt48MdmSNDA
  • วันหยุด : วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม, 17 มิถุนายน, และ 15 กรกฎาคม
  • เวลาทำการ : 9.00 น.-21.00 น.
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 3-6230-9666
  • เว็บไซต์หลักของ teamLab Borderless TOKYO : https://www.teamlab.art/th/e/tokyo/

พิกัดที่ 9 : “Craft Gyoza Festival Tokyo 2025” สุดยอดเทศกาลเกี๊ยวซ่าที่คอเกี๊ยวไม่ควรพลาด!

เมืองเซตางายะ จ.โตเกียว (Setagaya, Tokyo)

โดยส่วนตัวแล้ว เกี๊ยวซ่าที่เคยได้ลองทานเมื่อมาเยือนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ความคิดนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อได้มางานนี้! เราหวังว่าทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์เดียวกัน เพราะเกี๊ยวซ่าที่นี่ อร่อยจนแสงออกปากเลยทีเดียว!

ในปีนี้ Craft Gyoza Festival Tokyo 2025 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน – 6 พฤษภาคม ณ สวน Komazawa Olympic ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประจำทุกปี ภายในงาน คุณจะได้พบกับ เกี๊ยวซ่าหลากหลายสไตล์มากกว่า 30 เมนู จาก 16 ร้านเกี๊ยวซ่าชั้นนำ ไฮไลต์เด็ดประจำปีนี้คือ 21 เมนูเกี๊ยวซ่าที่มาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของเมนูทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีร้านค้าอื่น ๆ อีก 10 ร้านที่ให้บริการข้าวผัด ไอศกรีม บิงซู ถังหูลู่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การชิมเกี๊ยวซ่าของคุณ พิเศษไปกว่านั้น การจัดงานในครั้งนี้ยังจัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับงาน Craft Gyoza Festival Fukuoka 2025 (25 เมษายน – 6 พฤษภาคม) และ Craft Gyoza Festival Hiroshima 2025 (29 เมษายน – 6 พฤษภาคม) อีกด้วย

ภายในงานคุณจะได้พบกับ เกี๊ยวซ่าหลากหลายประเภทที่คัดสรรมาอย่างดี ทั้งรสชาติต้นตำรับและเมนูสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น เกี๊ยวซ่าทอดกระทะ (Pan-fried) ที่กรอบนอกนุ่มใน, เกี๊ยวซ่าทอดกรอบ (Deep-fried) ที่เคี้ยวเพลิน, เกี๊ยวซ่าน้ำ (Boiled) รสกลมกล่อม, เกี๊ยวซ่านึ่ง (Steamed) นุ่มละมุน หรือ เสี่ยวหลงเปา (Xiaolongbao) ที่มีน้ำซุปฉ่ำ ๆ รอให้คุณมาลิ้มลอง

ถึงแม้ว่างานในปีนี้จะจบลงไปแล้ว แต่คุณก็สามารถตั้งตารอพบกันใหม่ที่ Craft Gyoza Festival Tokyo 2026 ได้เลยนะคะ!

การเดินทางไป Craft Gyoza Festival Tokyo

เดินทางมาที่สถานี Komazawa Daigaku (DT04) ด้วยรถไฟ Den-en-toshi Line จากนั้นให้ใช้ประตูทางออก Komazawa Park Exit เลี้ยวขวา แล้วเดินต่อประมาณ 1 กิโลเมตร คุณก็จะพบกับลานจัดงานกลางแจ้งภายในสวน Komazawa Olympic Park

ข้อมูลเพิ่มเติม : Craft Gyoza Festival Tokyo
  • ที่ตั้ง : Komazawa Olympic Park 1-1 Komazawakoen, Setagaya City, Tokyo 154-0013 ญี่ปุ่น
  • ระยะเวลาการจัดแสดง : 25 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2025
  • เวลาทำการ : 11.00 น.-20.00 น. (วันจันทร์-วันศุกร์), 10.00 น.-20.00 น. (วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/ABQz19VuuCX7hHus6
  • เว็บไซต์หลักของ Craft Gyoza Festival (ทุกเมือง) : https://craftgyoza.jp/fes/

พิกัดที่ 10 : “ตลาดอะเมโยโกะ” ช้อปปิ้งสตรีทในตำนาน แหล่งรวมความคึกคักใจกลางอุเอโนะ! (Ameyoko Shopping Street)

เมืองไทโตะ จ.โตเกียว (Taito, Tokyo)

ตลาดอะเมโยโกะ (Ameyoko) คือหนึ่งในย่านการค้าชั้นนำของญี่ปุ่น ที่ทอดยาวกว่า 500 เมตร ไปตามรางรถไฟสาย Yamanote ระหว่างสถานี JR Ueno และ JR Okachimachi ที่นี่เปรียบได้กับ “ห้างสรรพสินค้าแนวนอน” ซึ่งรวบรวมร้านค้ามากกว่า 400 ร้าน ที่จำหน่ายตั้งแต่สินค้าในชีวิตประจำวันไปจนถึงสินค้าเฉพาะทางหายาก ตลาดแห่งนี้เป็นจุดหมายยอดฮิตของผู้มาเยือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปี ที่ผู้คนจะหลั่งไหลมาจับจ่ายซื้อของจนกลายเป็นภาพจำของตลาด ซึ่งมักปรากฏทั้งทางโทรทัศน์และบนโลกออนไลน์อยู่เสมอ

ไปทางไหนดี : ทางแยก 2 ฝั่งของตลาดที่คุณจะได้เจอ

ที่นี่เป็นย่านการค้าที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยเสน่ห์อันลุ่มลึก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งหลักจากทางแยกบริเวณด้านหน้าตลาด โดยฝั่งซ้ายคือ ตลาดอะเมโยโกะ (Ameyoko / アメ横) ที่เน้นขายอาหารหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสดใหม่ ผลไม้เสียบไม้ อาหารแห้ง เครื่องเทศ รวมถึงขนมและของหวานนานาชนิด ทั้งโมจิ ขนมเค้ก ไอศกรีม หรือชานมไข่มุก นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมอย่างราเม็ง ซูชิ และข้าวหน้าปลาไหลให้ได้ลิ้มลองอย่างเต็มที่ ส่วนฝั่งขวาคือ ถนนอุเอชุน (Uechun / 上中) ซึ่งเป็นโซนช้อปปิ้งสินค้าอื่น ๆ ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือเครื่องสำอาง ไปจนถึงของอิเล็กทรอนิกส์และของเล่นต่างๆ ในราคาที่คุ้มค่าและหาได้ยาก

รายชื่อร้านค้าในตลาดอะเมโยโกะ : https://www.ameyoko.net/shop/list.php?category=all&online=no

การเดินทางไป ตลาดอะเมโยโกะ

สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังตลาดอะเมโยโกะ สามารถเดินทางมาได้จากหลากหลายเส้นทาง โดยมีสถานีรถไฟแนะนำอยู่ 5 แห่ง ให้คุณเลือกตามความสะดวกของคุณ ดังนี้

  1. สถานี UENO *เราเลือกมาลงสถานีนี้เป็นประจำเวลาจะไปตลาดค่ะ
    • สถานี UENO (G16) ด้วยรถไฟใต้ดิน Ginza Line ออกทางออก 7 หรือ 5B แล้วเดินต่ออีก 400 เมตร
    • สถานี UENO (H18) ด้วยรถไฟใต้ดิน Hibiya Line ออกทางออก 7 หรือ 5B แล้วเดินต่ออีก 400 เมตร
    • สถานี JR UENO (JY05) ด้วยรถไฟ JR Yamanote Line ออก Central Exit
  2. สถานี JR Okachimachi
    • สถานี JR Okachimachi (JY04) ด้วยรถไฟ JR Yamanote Line ออกทางออก North
    • สถานี JR Okachimachi (JK29) ด้วยรถไฟ Keihin Tohoku Line ออกทางออก North
  3. สถานี Ueno-Hirokoji (G15) ด้วยรถไฟใต้ดิน Ginza Line ออกทางออก A2/A5/A7
  4. สถานี Naka-Okachimachi (H17) ด้วยรถไฟใต้ดิน Hibiya Line ออกทางออก A2/A5/A7
  5. สถานี Keisei Ueno (KS01) ด้วยรถไฟ Keisei Line และเดินต่ออีก 250 เมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตลาดอะเมโยโกะ
  • ที่ตั้ง : 6 Chome-10 Ueno, Taito City, Tokyo 110-0005 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/Tg51WS9Efc4Lytnf7
  • เวลาทำการ : 10.00 น.-20.00 น. (ร้านค้าส่วนใหญ่ ปิดวันพุธ)
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 3-3832-5053
  • เว็บไซต์หลักของ ตลาดอะเมโยโกะ : https://www.ameyoko.net

พิกัดที่ 11 : “ตึกม่วงทาเคยะ” แหล่งรวมสินค้าครบวงจรพร้อมพนักงานชาวไทย (Takeya)

เมืองไทโตะ จ.โตเกียว (Taito, Tokyo)

ตึกม่วงทาเคยะ (Takeya) คือร้านค้าปลอดภาษีขนาดใหญ่ใจกลางย่าน Ueno-Okachimachi ที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1947 ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดดเด่นด้วยตัวอาคารสีม่วงทั้งตึก ทำให้ผู้คนเรียกติดปากว่า “ตึกม่วง” และกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของย่านนี้ ที่นี่ขึ้นชื่อในฐานะ “แหล่งรวมสินค้าครบครัน” มีทุกสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, ของใช้ในชีวิตประจำวัน, เครื่องสำอาง, ยา, ของที่ระลึก, สินค้าแฟชั่น, หรือสินค้าแบรนด์เนม ไปจนถึงสินค้าเฉพาะทาง รวมมากกว่า 70,000 รายการ ซึ่งทั้งหมดล้วนคัดสรรมาอย่างดีและจำหน่ายในราคาย่อมเยา

นอกจากสินค้าที่หลากหลายแล้ว ทาเคยะยังจัดแคมเปญและมอบคูปองส่วนลดเมื่อซื้อตามยอดที่กำหนดอยู่เสมอ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ปัจจุบันตึกทาเคยะเปิดทำการอยู่ 2 ตึก คือ ตึกทาเคยะ 1 และ ตึกทาเคยะ 3 (ส่วน ตึกทาเคยะ 4 ปิดปรับปรุงอยู่ในขณะนี้: ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2025) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถช้อปปิ้งได้อย่างสบายใจ เพราะที่นี่มีพนักงานที่สามารถให้บริการได้ถึง 4 ภาษา ได้แก่ จีน, อังกฤษ, เกาหลี และไทย (มีพนักงานคนไทยคอยให้บริการด้วยนะ)

ที่มา : https://www.facebook.com/takeya.th
การเดินทางไป ตึกม่วงทาเคยะ (Takeya)

สำหรับการเดินทางมายังตึกม่วง Takeya ด้วยรถไฟใต้ดิน สถานีที่ใกล้และสะดวกที่สุด ทำให้คุณไม่ต้องเดินเยอะ คือ สถานี Naka-Okachimachi (H17) หรือ สถานี JR Okachimachi ค่ะ หรือถ้าใครแวะเดินเที่ยว ตลาดอาเมะโยโกะ มาก่อน ก็สามารถเดินเชื่อมต่อมายังตึกม่วงได้เลย ไม่ไกลกันค่ะ

  1. *สถานี Naka-Okachimachi (H17) ด้วยรถไฟใต้ดิน Hibiya Line ออกทางออก 3 ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าตึกม่วง
  2. **สถานี JR Okachimachi
    • สถานี JR Okachimachi (JY04) ด้วยรถไฟ JR Yamanote Line ทางออก North แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร
    • สถานี JR Okachimachi (JK29) ด้วยรถไฟ Keihin Tohoku Line ทางออก North แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร
  3. สถานี Ueno-Hirokoji (G15) ด้วยรถไฟใต้ดิน Ginza Line แล้วเดินต่ออีกประมาณ 6 นาที
  4. สถานี Ueno-Okachimachi (E09) ด้วยรถไฟใต้ดิน Oedo Line แล้วเดินต่ออีกประมาณ 4 นาที
  5. สถานี Shin-Okachimachi (TX02) ด้วยรถไฟ Tsukuba Express แล้วเดินต่ออีก 500 เมตร
ที่มา : https://www.takeya.co.jp
ที่มา : https://www.dfc.ne.jp/info/takeya20221116/
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตึกม่วงทาเคยะ (Takeya)
  • ที่ตั้ง : 4 Chome-12-1 Taito, Taito City, Tokyo 110-0016 ญี่ปุ่น
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/bozNnWnvDK9JWDP69
  • วัน-เวลา ทำการ :
    • ตึกทาเคยะ 1 (ชั้น1-3) 9.00 น.-22.00 น.
    • ตึกทาเคยะ 3 ทุกชั้น 10.00 น.-19.00 น.
    • หยุดบริการทุกวันที่ 1 มกราคม
  • เบอร์โทรศัพท์ : +81 3-3835-7777 (10.00 น.-17.00 น.)
  • เว็บไซต์หลัก : https://www.takeya.co.jp
  • Facebook Takeya TH : https://www.facebook.com/takeya.th

พิกัดที่ 12 : “Mottainai Flea Market” @Gotanda TOC ขุมทรัพย์มือสองจากผู้ใช้จริง

เมืองชินากาวะ จ.โตเกียว (Shinagawa, Tokyo)

Mottainai Flea Market คืออะไร?

Mottainai Flea Market (ตลาดนัดม็อตไตไน) เป็นตลาดนัดมือสองที่มีแนวคิดหลักมาจากปรัชญา “Mottainai” (もったいない) ของญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึง “เสียดายของ” หรือ “ไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า” ปรัชญานี้ส่งเสริมการ ลด (Reduce) นำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) และ รีไซเคิล (Recycle) (3R’s) เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลาดนัดนี้มักจัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์ในกรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น คานางาวะ ไซตามะ และชิบะ เพื่อเป็นพื้นที่ในการส่งเสริมแนวคิดนี้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2024 ที่ผ่านมา แคมเปญ MOTTAINAI ก็ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Mottainai Flea Market ณ ตึก Gotanda TOC

ตลาดนัด Mottainai มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงานอยู่เสมอ จึงควรตรวจสอบล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์หลักก่อนเดินทางไป สำหรับการจัดงานครั้งล่าสุด ตึก Gotanda TOC ซึ่งเดิมมีกำหนดการรื้อถอนเนื่องจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน ได้ถูกเลื่อนโครงการออกไป ทำให้ร้านค้าและสำนักงานภายในตึกยังคงเปิดให้บริการ และตลาดนัด Mottainai ได้กลับมาจัดอีกครั้ง ณ ชั้น 13 ของตึก Gotanda TOC ซึ่งเป็นฮอลล์ขนาดกว้างขวางที่มีร้านค้ามากกว่า 200 ร้าน จุดเด่นของการจัดงานที่นี่คือ การจัดตลาดนัด Mottainai (10:00 – 16:00 น.) พร้อมกับตลาดนัด Mottainai Kids (13:30 – 15:00 น.) ซึ่งทั้งสองส่วนได้รับความนิยมอย่างมาก

ตลาดนัด Mottainai Kids เป็นตลาดนัดที่จัดขึ้นสำหรับเด็ก (ประถม, มัธยม) เท่านั้น โดยเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ลองเป็นพ่อค้าแม่ค้า ซื้อ-ขายของ กันเอง ภายใต้การดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด กิจกรรมนี้ไม่เพียงสอนให้เด็กๆ เรียนรู้วิธีสร้างตารางการขายและจัดทำงบดุลรายรับ-รายจ่าย แต่ยังต้องการปลูกฝังหัวใจที่รู้จักคุณค่าของสิ่งของและคุณค่าของเงินไปพร้อมกันด้วย

การเดินทางไป “Mottainai Flea Market” @Gotanda TOC

สำหรับการเดินทางมายังตึก Gotanda TOC ด้วยรถไฟใต้ดิน สถานีที่แนะนำ คือ สถานี JR Gotanda (JY23)/สถานี Gotanda (A05) ซึ่งอยู่ภายในบริเวณเดียวกันค่ะ

  1. *สถานี JR Gotanda (JY23) ด้วยรถไฟ JR Yamanote Line แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที หรือ 650 เมตร
  2. *สถานี Gotanda (A05) ด้วยรถไฟใต้ดิน Asakusa Line แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที หรือ 650 เมตร
  3. สถานี Osakihirokoji (IK02) ด้วยรถไฟ Ikegami Line แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที หรือ 600 เมตร
  4. สถานี Fudō-mae (MG02) ด้วยรถไฟ Meguro Line แล้วเดินต่อประมาณ 14 นาที หรือ 900 เมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม : “Mottainai Flea Market” @Gotanda TOC
  • ที่ตั้ง : ตึก Gotanda TOC Building ชั้น 13 (7-22-17 Nishi-Gotanda, Shinagawa City, Tokyo 141-0031 ญี่ปุ่น)
  • ลิงก์ Google Maps : https://maps.app.goo.gl/3T9CXgR4kTEcUrKB8
  • เวลาทำการ : 10.00 น.-16.00 น. (ของตลาดนัด Mottainai) / 8.00 น.-23.00 น. (ของตึก TOC)
  • เว็บไซต์หลักของตลาดนัด Mottainai : https://www.mottainai.info
  • ข้อมูลปฎิทินวันจัดงานและสถานที่จัดงานครั้งอื่นๆ : https://www.mottainai.info/jp/event/

เส้นทางบิน ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ (NRT) สู่ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง (DMK)

การเดินทางกลับของเราในครั้งนี้ใช้เที่ยวบิน Thai Lion Air Flight SL395 ซึ่งเป็นเส้นทางการบินย้อนรอยเดิมจากขามา ด้วยการบินแบบต่อเครื่อง แวะพัก 1 ครั้งที่ไทเป ระยะเวลาตลอดการเดินทางอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 10 นาที ซึ่งเร็วกว่าเที่ยวบินขามา 5 นาที แบ่งเป็นช่วงบินแรก 3 ชั่วโมง 20 นาที แวะพัก 1 ชั่วโมง และบินต่ออีก 3 ชั่วโมง 50 นาที

  • Flight: SL395 
  • Route: Narita (NRT) – Taiwan Taoyuan (TPE)
  • Departure Time: 5.30 PM 
  • Arrival Time: 8.20 PM 
  • Duration: 3 hour 20 min 
  • Distance: 1,356 Miles 
  • Aircraft: Boeing 787–900ER 
  • Class: Economy

  • Flight: SL395
  • Route: Taiwan Taoyuan (TPE) – Don Mueang (DMK) 
  • Departure Time: 9.20 PM 
  • Arrival Time: 12.10 AM 
  • Duration: 3 hour 50 min 
  • Distance: 1,545 Miles 
  • Aircraft: Boeing 787–900ER 
  • Class: Economy

ถึงเวลาเดินทางกลับ

เราเดินทางออกจากสถานี Asakusa ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักสุดท้าย เพื่อใช้บริการ Narita Sky Access เวลา10.25 น. มุ่งหน้าสู่สถานี Narita Airport Terminal 1 เนื่องด้วยสถานี Asakusa ไม่ใช่สถานีต้นทางและผู้คนหนาแน่น ทำให้เราต้องยืนบ้างนั่งบ้าง และต้องคอยประคองตัวตลอดทางเพื่อรับมือกับความเร็วของรถไฟ หากมีข้อแนะนำสำหรับการเดินทางกลับ คงเป็นการแนะนำให้พิจารณาใช้บริการ Sky Liner ที่สามารถจองที่นั่งได้ค่ะ เมื่อมาถึงสถานีปลายทางและเข้ามาภายในสนามบิน เราก็พบจุดบริการรถเข็นทันที ซึ่งจำเป็นมากสำหรับเราที่มีข้าวของไม่น้อยเลย โดยเราต้องใช้รถเข็นถึง 2 คันเลยทีเดียวค่ะ

เรามาถึงชั้น 1F ของ Terminal 1 ตั้งแต่เวลาประมาณ 11.30 น. ซึ่งค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับเวลาเคาน์เตอร์เช็คอินที่เปิด 14.30 น. เราตั้งใจมาเดิน Airport Mall กันก่อนกลับ แต่ก่อนหน้านั้น เราได้เดินหาเครื่องชั่งน้ำหนักของสนามบินที่ใกล้กับ Repack Area เพื่อเช็กน้ำหนักกระเป๋าให้มั่นใจว่าไม่เกินกำหนด และจะได้รู้ว่ายังสามารถเพิ่มน้ำหนักได้อีกเท่าไร เครื่องชั่งน้ำหนักมีหลายจุด โดยจุดที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ใกล้ทางเข้าของทั้ง South Wing และ North Wing ไปเล็กน้อย เราแนะนำให้เลือกฝั่งที่ใกล้กับเคาน์เตอร์เช็คอินของคุณได้เลยค่ะ

เมื่อชั่งน้ำหนักกระเป๋าเรียบร้อย ก็ได้เวลาสนุกแล้ว! เราขึ้นลิฟต์มาที่ชั้น 4 ของโซนกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Airport Mall ที่มีร้านค้ามากมาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ของที่ระลึก และดรักซ์สโตร์หลายร้าน แม้ปริมาณสินค้าจะไม่ได้มากเท่ากับในตัวเมือง แต่ก็มีจำหน่ายสินค้ายอดนิยมในหมู่คนไทยอย่างครบครัน นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารน่าอร่อยอีกหลายร้านทั้งชั้น 4 และ 5 โดยราคาอาหารในสนามบินจะสูงกว่าปกติพอสมควร อย่างเช่น Midori Sushi ก็มีราคาสูงกว่าปกติเกือบเท่าตัว แต่ก็แลกมากับเมนูที่หลากหลายเช่นกัน ร้านอาหารอื่นๆ ก็ล้วนคัดสรรร้านมีชื่อเสียงมารวมไว้ หากมาเป็นครอบครัวใหญ่ เราขอแนะนำให้หาร้านอาหารก่อน เพราะบางร้านมีคิวที่ยาวมาก ส่วนสำหรับใครที่มองหาอาหารราคาเบาๆ หรือของว่างรองท้อง ก็มี Food Court และร้านสะดวกซื้ออยู่บนชั้น 5 ใกล้กับโซนเด็กที่มีสนามเด็กเล่นขนาดเล็ก และโซนตู้กาชาปองเรียงรายนับร้อยตู้ สำหรับพวกเรา หลังเดินช้อปปิ้งก็ได้ฝากท้องมื้อสุดท้ายก่อนกลับไว้ที่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น KEISEI-YUZEN ซึ่งมีรสชาติอร่อย ราคาดี และเมนูที่หลากหลายใช้ได้เลยค่ะ ขอแจ้งว่าร้านค้าในโซนนี้ยังไม่ใช่โซน Duty Free คุณยังต้องซื้อของตามยอดที่กำหนดเพื่อทำ Tax Free และยังต้องจัดการน้ำหนักกระเป๋าให้เรียบร้อยด้วย

ในที่สุดก็ถึงเวลาเช็คอิน เคาน์เตอร์เช็คอินของ Thai Lion Air อยู่ที่ Terminal 1 North Wing Row F ซึ่งเป็นแถวสุดท้ายของอาคาร ตอนที่เราไปไม่มีคนเลย จนไม่แน่ใจว่ามาถูกที่ไหม กระทั่งมีพนักงานเดินเข้ามาแนะนำ พนักงานที่นี่พูดภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษเป็นหลัก แต่ก็มีพนักงานที่พูดภาษาไทยด้วย ซึ่งพนักงานที่ดูแลเราน่ารักมาก พูดไทยได้ ให้คำแนะนำและความช่วยเหลืออย่างดีเยี่ยม ทำให้การเช็คอินสะดวกราบรื่น ไม่มีปัญหาใดๆ เราได้รับสติกเกอร์ International Transfer วงกลมสีแดงสำหรับติดหน้าอก และ Boarding Pass 2 ใบ สำหรับขา NRT-TPE และ TPE-BKK โดยขากลับน้ำหนักกระเป๋ารวมของเราสองคนอยู่ที่เกือบ 80 กก. (น้ำหนักเดิมคนละ 20 กก. และซื้อเพิ่มอีกคนละ 20 กก.) รวมจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มไป 1,550 บาท ซึ่งเราซื้อล่วงหน้ามาตั้งแต่อยู่ไทยค่ะ กระเป๋าที่โหลดจะถูก Check-through ไปรับที่ปลายทางดอนเมืองได้เลย ส่วนกระเป๋า Carry-on ก็จะมีสาย APPROVED ติดกระเป๋าให้ค่ะ

เมื่อเช็คอินเรียบร้อย เราก็รีบเข้าไปข้างในเลย เพราะเหลือเวลาสำหรับเดิน Duty Free ไม่มากนัก Gate 12 ของ Thai Lion Air อยู่ทางด้านขวา หากเดินตรงไปยัง Gate เลย จะเจอร้านค้าเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้น แต่ก็มีร้านขนมของฝากขึ้นชื่ออยู่ 1 ร้าน หากใครมาสนามบินช้าและต้องการทำเวลา การอยู่ Gate 12 จะช่วยได้มาก เพราะเมื่อผ่าน Security Check มา ก็แค่เดินไปทางขวาไม่นานก็จะถึง Gate เลย แต่เนื่องจากวันนี้เรามีเวลาเหลือ เมื่อออกจาก Security Check แล้ว เราจึงเลี้ยวซ้ายแทน เพราะโซนร้านค้า Duty Free เกือบทั้งหมดจะอยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งทอดยาวมาก มีทั้งร้านขนมขนาดใหญ่ ดรักซ์สโตร์หลายร้าน ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง AKIHABARA ไปจนถึงร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารมากมาย

แต่เนื่องจากเราเดินทางแบบบินต่อเครื่อง จึงไม่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวเกิน 100 ml. ได้ ข้อนี้ทุกคนต้องระวังนะคะ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องมาสก์หน้าแบบแผ่นซองใหญ่ เพราะไม่นับเป็นของเหลว สามารถถือขึ้นเครื่องได้ไม่จำกัดจำนวน ตอนที่เราซื้อ พนักงานแคชเชียร์ในร้านจะถามเส้นทางการบินของเราว่าไปลงที่ไหน มีต่อเครื่องไหม แล้วพวกเขาจะให้คำแนะนำเองว่าชิ้นไหนถือขึ้นเครื่องได้หรือไม่ได้ เพราะต่อให้ถือขึ้นไปก็ต้องทิ้งตอนตรวจครั้งต่อไปอยู่ดีค่ะ ทุกร้านล้วนมีคิวจ่ายเงินยาวมาก แนะนำให้เลือกเลยว่าจะซื้อร้านไหน แล้วรีบต่อแถว เผื่อเวลาไว้ด้วย โดยเฉพาะหาก Gate ของคุณอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามเหมือนเรา แต่ความสะดวกเล็กน้อยคือมีทางเดินเลื่อนอยู่ด้านหลังของโซนร้านค้าแบรนด์เนมที่จะพาคุณตรงมายังสุดทางอีกฝั่ง ช่วยบรรเทาอาการปวดเท้าจากการผจญภัยในทริปได้มากเลยค่ะ

การเดินทางในช่วงขากลับเป็นช่วงเย็นไปจนถึงกลางดึก เราได้ที่นั่ง 34A, 34B การเดินทางกลับไม่มีอะไรให้เรามองผ่านหน้าต่างมากนัก เพราะมืดไปหมด ส่วนขณะที่แวะพักที่ไทเป จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกทางตลอดเหมือนเช่นเคย เนื่องจากมีประสบการณ์ช่วงขามาแล้ว ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยกับการเดินตามเส้นทาง จึงรู้สึกเหมือนได้เดินยืดเส้นยืดสาย ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเป็นพิเศษ ตรวจกระเป๋าและข้าวของที่ซื้อจาก Duty Free ก็ไม่มีปัญหาอะไร หลังจากเข้าห้องน้ำและแวะดูของเล็กน้อยตามทางที่ผ่าน ก็เดินกลับมาเตรียมตัวขึ้นเครื่อง โดยคราวนี้เราจะขึ้นเครื่องกันที่ Gate A2 ค่ะ นั่งรอไม่กี่นาที ก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องเพื่อนอนหลับต่อบนเครื่องแล้วค่ะ ช่วงนี้มีเซอร์ไพรส์เล็กๆ คือเจอตกหลุมอากาศไป 2 รอบเบาๆ มีสัญญาณไฟเตือนคาดเข็มขัดติดขึ้น พร้อมทั้งถูกขอให้ปรับพนักพิงตั้งตรง ถือว่าสร้างสีสันให้การเดินทางแบบพอประมาณ ซึ่งกัปตันและลูกเรือทุกคนก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้การเดินทางราบรื่น แป๊บเดียวเครื่องก็แตะรันเวย์ที่ดอนเมืองอย่างปลอดภัยแล้วค่ะ! แน่นอนว่ามาถึงก่อนเวลาอีกเช่นเคย โดยรวมแล้ว การเดินทางกับ Thai Lion Air เที่ยวบิน SL395 ที่แวะพักไทเปครั้งนี้ ถือว่าผ่านฉลุย ไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจเลย ใครที่อยากได้ตั๋วราคาดีๆ ไปญี่ปุ่นและไม่ซีเรียสเรื่องแวะพักที่เพิ่มเวลาเพียง 1 ชั่วโมง พร้อมการเดินทางที่ตรงต่อเวลาหรือก่อนเวลา บอกเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ!

ทริป “โตเกียว ช่วง Golden Week อัปเดต 2025: เที่ยวได้จริง บินต่อเครื่องสุดคุ้มไปกับ Thai Lion Air” ของเราในครั้งนี้ เรียกได้ว่าทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก แบบเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน ซึ่งจะเติมเต็มความทรงจำของเราอย่างไม่รู้ลืมเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคืนนี้ ขอลาไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ! แล้วเจอกันใหม่ในทริปต่อไปนะคะ

เรื่องและภาพ โดย : นลัท โรจน์วัฒนวงศ์