“ภูเขาทาคาโอะ” บุกแดนเท็งงุ สัมผัสบรรยากาศ 599 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล / Mt. TAKAO / 髙 尾 山

แตะธรรมชาติใกล้โตเกียวแบบไปเช้า-เย็นกลับ เยือนดินแดนบ้านเกิดเท็งงุ นั่งกะเช้าห้อยขา สัมผัสความเสียว พร้อมอากาศหนาวเย็นบนยอดเขาเหนือระดับน้ำทะเล 599 เมตร เส้นทางปีนเขาสำหรับมือใหม่ไปจนถึงมือโปร ดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามในทุกฤดูกาล กับสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 3 ดาว จาก Michelin Green Guide

Welcome to Mt. TAKAO

ในช่วงที่เรากำลังวางแผนการเดินทาง และกำหนดสถานที่ต่างๆ ที่จะไปในโตเกียว เราก็ยังมีหนึ่งวันเต็มๆ ที่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะทำอะไร หรือไปที่ไหนดี เราจึงกำหนดโจทย์ว่า สถานที่นี้ต้องไม่ไกลจากโตเกียว และเราสามารถไปสัมผัสธรรมชาติได้แบบไปเช้า-เย็นกลับ หลังจากหลายตัวเลือกที่คัดสรรมา ผลสรุปสุดท้ายที่เราเลือกจะไปก็คือ Mt. Takao ภูเขาสวยที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงโตเกียว ด้วยระยะเวลานั่งรถไฟจากโตเกียวเพียง 1 ชั่วโมง และมีจำหน่ายบัตรโดยสารแบบแพคเกจที่ให้ความคุ้มค่า และสะดวกสบาย รวมถึงการจะได้นั่งกระเช้าห้อยขาตากลมเย็นๆ แหวกภูเขาขึ้นไป ทำให้ Mt. Takao เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเรา > <

เราจะเริ่มสตาร์ทการเดินทางของเราที่ “สถานีชินจูกุ” เพื่อซื้อ “Mt. Takao Discount Ticket” สำหรับเดินทางไปกลับ สถานีชินจูกุ – สถานีทาคาโอะซังกุจิ( Takaosanguchi ) รวมตั๋วเคเบิ้ลคาร์หรือลิฟท์กระเช้า สำหรับขึ้นและลงอย่างละ 1 รอบ โดยจะขึ้นด้วยลิฟท์กระเช้าแล้วลงด้วยเคเบิ้ลคาร์ก็ได้นะคะ รวมทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 1,380 เยน/Adult, 690 เยน/Child ถูกกว่าซื้อตั๋วแยกเยอะมาก โดยสามารถหาซื้อได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติของ KEIO (แบบในรูปด้านบน) ซึ่งตู้จะตั้งอยู่ข้างหน้าทางด้านซ้าย บริเวณทางเข้าสถานีรถไฟสาย KEIO เลยค่ะ ถ้าใครที่นั่งรถไฟสายอื่นเพื่อมาสถานีชินจูกุ แล้วเจอตู้จำหน่ายตั๋วของ KEIO ด้านในสถานี จะไม่สามารถกดซื้อตั๋วนี้ได้นะคะ (เราลองมาแล้ว 55555) จำเป็นต้องติ้ดออกมาด้านนอกก่อน แล้วซื้อตั๋วนะ ส่วนวิธีการใช้ตู้ซื้อตั๋วก็ตามขั้นตอนด้านล่างนี้เลยค่ะ

  1. กดปุ่มสีฟ้าเพื่อเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ อยู่ด้านบนขวาของจอ
  2. กดปุ่ม Discount Ticket ทางด้านซ้ายของเมนู แล้วจะขึ้นตัวเลือก Mt. Takao Discount Ticket ที่กลางหน้าจอ
  3. กดเลือก Mt. Takao Discount Ticket แบบ 1,380 เยน (อันขวา) **ถ้าเลือกอันซ้ายจะไม่รวมตั๋วขากลับมาให้เรานะคะ
  4. ใส่จำนวนคนและชำระเงินตามลำดับค่ะ

โดยต้องขอขอบคุณวิธีการใช้ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติจาก https://matcha-jp.com/th/greatertokyo/5178 และสำหรับใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของตั๋ว Mt. Takao Discount Ticket ก็สามารถอ่านได้ที่ https://www.keio.co.jp/english/tickets/discount.html

และเราก็ได้ Mt. Takao Discount Ticket มาอยู่ในมือ 1,380 เยน จะได้ตั๋วมา 4 ใบ/คนนะคะ มาดูกันดีกว่า ว่าแต่ละใบใช้ยังไงบ้าง ก่อนอื่นด้านขวาบนของตั๋วจะมีตัวเลข 1-4 อยู่

  1. ตั๋วใบที่ 1 เป็นใบแนะนำตั๋วแต่เราอ่านไม่ออกค่ะ 5555 เหมือนเป็นของที่ระลึกชิ้นหนึ่งค่ะ จะไม่ได้ใช้ ให้เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ :’)
  2. ตั๋วใบที่ 2 เป็นตั๋วรถไฟขาไปจากสถานีชินจูกุ – สถานีทาคาโอะซังกุจิ (Takaosanguchi)
  3. ตั๋วใบที่ 3 สำหรับเคเบิ้ลคาร์ หรือลิฟท์กระเช้า (Chair Lift) ใช้โชว์ตั๋วก่อนขึ้นโดยสารทั้งขาขึ้นและลงจากภูเขา ใช้ใบเดียวกันนะคะ ต้องเก็บให้ดีดีเลย ไม่งั้นต้องเสียเงินซื้อตั๋วแยกใหม่นะ
  4. ตั๋วรถไฟขากลับจากสถานีทาคาโอะซังกุจิ (Takaosanguchi) – สถานีชินจูกุ

เริ่มเดินทางกันค่ะ โดยใช้ตั๋วใบที่ 2 ของเรา เข้าสถานีรถไฟสาย KEIO ที่อยู่ด้านขวาของตู้จำหน่ายตั๋ว โดยหน้าตั๋วก็จะลงสถานีต้นทาง-ปลายทาง และวันที่ที่เราเดินทางค่ะ สำหรับเรา เดินทางวันที่ 29 เมษายน 2019 นะคะ

พอเข้าไปในสถานีเนี่ยบนบอร์ดก็จะมีรอบเวลาการเดินรถแสดงอยู่ ซึ่งเราควรเลือกขึ้นรถไฟที่เป็น Special Express(สีชมพู) > Semi S. Express(สีเหลืองเข้ม) > Express(สีเขียว) > Rapid(สีฟ้า) > Local(สีดำ) เรียงตามลำดับที่ควรเลือกค่ะ โดยเมื่อดูจากแผนผัง Special Express(สีชมพู) ก็จะจอดสถานีน้อยกว่า Local(สีดำ) ทำให้เราไปถึงเร็วกว่าค่ะ รถก็จะสลับกันมาเรื่อยๆ แต่แนะนำว่าต่อให้ Local มาก่อนก็อดทนรอคันต่อไปดีกว่าค่ะ เพราะถ้าต้องจอดทุกสถานี และคนขึ้นมาเบียดกันเยอะๆ ทริปนี้ไม่สนุกแน่ๆ แถมเปลืองเวลาเดินทางของเราไปเยอะกว่ารอรถ 5-10 นาทีแน่นอนค่ะ ถ้าทุกอย่างราบรื่นเราจะใช้เวลาเดินราว 1 ชั่วโมง สำหรับรถไฟที่ไม่ใช่ Local นะคะ**ดาวสีแดงบนแผนผังทางขวา คือ สถานีชิจูกุต้นทาง และทางซ้าย คือ สถานีทาคาโอะซังกุจิปลายทางของเรานะคะ

และนี่คือ 1 ชั่วโมงบนรถไฟของเราค่ะ ^^

ช่วงแรกๆ ก็จะมีคนประมาณนี้ค่ะ พอไปสถานีไกลๆ ก็ค่อยๆ โล่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแล้วววว เมื่อก้าวออกจากรถไฟมา เราก็ได้สัมผัสอากาศเย็นจนเสื้อกันหนาวเรียกพี่ เดินกอดอกกันทุกคนเลยค่ะ 55555

และนี่คือ “จุดสิ้นสุด” ของเส้นทางรถไฟสายนี้ค่ะ คือเราตื่นเต้นมาก 5555 แบบเราก็ไม่ได้จินตนาการถึงสุดทางรถไฟมันจะเป็นยังไง อ่อ มันเป็นแบบนี้ สุดรางไปต่อไม่ได้ มีโครงเหล็กฟ้าๆตรงนั้นยึดโยงสายเคเบิ้ลข้างบน พอถึงแล้วคนขับรถไฟก็จะไปพักเปลี่ยนกะ มีคนใหม่ขึ้นมาขับกลับแทน ขับทีละ 2 คนแหละ พอคนขับรถไฟเจอหน้ากันก็จะโค้งเคารพซึ่งกันและกัน

ฟีลแบบสถานีรถไฟต่างจังหวัด อากาศดีๆ คนไม่พลุกพล่านแบบในหนังไหม เราว่ามันให้ฟีลเหงาๆ ซึ้งๆ แบบมีเสน่ห์ดีนะ ละอากาศเย็นๆ เล่น MV คือใช่มากกก ฉากสวย ฟีลดี -/////-

เมื่อออกมาดูภายนอกของสถานีทาคาโอะซังกุจิ (Takaosanguchi) ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นหลังคาที่ทำจากไม้สนสีอบอุ่น คอยทักทายเป็นทั้งจุดนัดพบ และจุดถ่ายภาพที่ระลึกสำหรับผู้มาเยือน ออกแบบโดย “คุมะ เคนโกะ” (Kuma Kengo) สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่ออกแบบผลงานไว้มากมาย ใครอยากลองดูผลงานสามารถติดตามได้ที่ https://kkaa.co.jp/

เล่มนี้หยิบได้ที่สถานีนะคะ ข้างในมีให้เล่นเกมส์ประทับแสตมป์ตามสถานที่บนเขาด้วย เอามาแลกรางวัล แต่…เราลองเล่นแล้ว เราเจอแค่ที่เดียว T^T เราจึงไม่แน่ใจเช่นกันว่าต้องประทับตรงไหนบ้าง อาจจะต้องเดินวนๆ หรือมาหลายรอบหน่อย เพราะมีเส้นทางเดินเขาหลายเส้นทางเลย แล้วก็มีแผนที่ในเล่มด้วย พกไว้ไม่เสียหายค่ะ

เริ่มออกเดินได้ ! วิธีการเดินจากบริเวณนี้ก็คือ “เดินตามฝูงชนค่ะ” คนค่อนข้างเยอะ มีทั้งเด็กเล็กเด็กโต แบเบาะในรถเข็น หนุ่มสาววัยรุ่น คู่รัก สามีภรรยา ชาวต่างชาติ และผู้สูงอายุแบบที่ดูแข็งแรงกว่าเรา จนรู้สึกเขินตัวเองกันเลยทีเดียว ส่วนเครื่องแต่งกายก็มีทั้งแต่งตัวชิลๆ เสื้อยืด เสื้อคลุม รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ และรองเท้าส้นสูง! ( ห๊ะ อ่านไม่ผิดค่ะ ใส่ส้นสูงเดินเขาก็มีค่ะ ) จนกระทั่งมือโปรใส่ชุดปีนเขาเต็มยศก็มีจำนวนมากเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่เจอตอนอยู่บนเขานะคะ เพราะไปกันคนละเส้นทาง เส้นทางเดินเขาจะมีทังหมด 6 เส้นทาง ซึ่งเราไปเส้นทางที่ 1 เป็นถนนเรียบปูด้วยหินไปตลอดทาง เดินง่ายที่สุดจากเส้นทางทั้งหมด คนที่ไม่มีประสบการณ์ก็สามารถปีนเขาได้อย่างง่ายๆ ส่วนเส้นทางอื่น ก็จะเริ่มแยกออกไปจากหลายๆ จุดสตาร์ทค่ะ

ร้านขายปลาย่าง สร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย

หรือการชนะความเย็นที่ดีที่สุด แบบเอาความเย็นเข้าสู้ ร้านไอศกรีมก็เดินมาอีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

เริ่มเจอเมืองแล้ว

เกาลัดญี่ปุ่นจ้าาา ตอนแรกไม่แน่ใจว่าลูกอะไร เดาว่าเกาลัดแหละ ถูกด้วย! เครื่องมันแปลกดี ควันโขมงเลย อาจจะเพราะเราคุ้นชินกับเครื่องคั่วเกาลัดตามเยาวราชมากกว่า

และเมื่อเดินมาจนสุดทางเราก็จะเจอกับ Kiyotaki Station เป็นสถานีขึ้นเคเบิ้ลคาร์ และลิฟท์กระเช้า เดินเข้าไปในสถานีจะมีป้ายบอกทางไม่ต้องกลัวหลง ตอนขาไปเราไปด้วยลิฟท์กระเช้านะคะ ทางขึ้นอยู่ตรงกลางของสถานีเลย เพราะว่าเรามาถึงช่วงบ่ายๆแล้ว ลิฟท์กระเช้าจะปิดทำการก่อนเคเบิ้ลคาร์ สำหรับใครที่อยากขึ้นทั้ง 2 แบบ เราจึงแนะนำว่าขึ้นด้วยลิฟท์กระเช้า และลงด้วยเคเบิ้ลคาร์จะเหมาะสมกว่าค่ะ

**ถ้าใครไม่ได้ซื้อตั๋วเป็นแพคเกจแบบเรา แล้วมาซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์กับลิฟท์กระเช้าภายหลัง ราคาจะอยู่ที่ 480 เยน/Adult (ไปกลับ : 930 เยน) และ 240 เยน/Child (ไปกลับ : 460 เยน)

วันที่เราไปก็ค่อนข้างโชคดีค่ะ ด้านหน้าของสถานี Kiyotaki มีการแสดงให้ดูด้วย เราไปถึงตอนกำลังจะเริ่มแสดงพอดี เลยได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ ตอนแรกทุกคนรอบๆ ก็กำลังเดินไปมากันอยู่ พอการแสดงเริ่มก็หยุดดูกันหมดเลย ด้านหน้าเวทีจะมีม้านั่งยาวให้รับชมการแสดงค่ะ แต่มันดีมากเลยอย่างหนึ่ง คือไม่มีการยืนบังกันเลย ถ้าใครยืนดูก็จะยืนในมุมที่ไม่บังคนที่นั่งอยู่ค่ะ หรือไม่ก็ไปยืนดูจากข้างหลังเลย ทำให้ทุกคนนั่งชมกันได้สบายๆ มองเห็นอย่างทั่วถึงคะ

ภูเขาทาคาโอะเป็นภูเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องการมาดูใบไม้แดงที่หนึ่งเลยค่ะ แต่เราไปกันในฤดูใบไม้ผลิ ก็จะได้เห็นใบเมเปื้ลสีเขียวแบบนี้แทน แต่มันก็สวยในแบบของมันนะคะ ความเขียวขจี ที่ทำให้เราสดชื่นมากๆ รีเฟรชวันเหนื่อยๆ ให้มีพลังชีวิต สูดลมหายใจได้อย่างเต็มปอด และถ้าเอาให้ดี ก็ต้องลองมาให้ครบทุกฤดูเลยนะคะ :’)

ทางเดินขึ้นลิฟท์กระเช้าค่ะ เวลาทำการคือ 8.15 น. – 16.00 น. นะคะ

ถึงคราวโชว์ตั๋วเบอร์ 3 กันแล้วค่ะ

มันไม่หวาดเสียวเท่าที่จินตนาการไว้ตอนแรก แต่ก็ต้องดูแลทรัพย์สินต่างๆ ให้ดีนะคะ แล้วมันก็เป็นเก้าอี้นั่งลอยฟ้าค่ะ มันก็โยกไปโยกมาได้ถ้าเราขยับ แต่ไม่อันตรายนะ ดูโครงสร้างแข็งแรงและให้ความรู้สึกเสียวนิดๆ แบบปลอดภัยมาก เก้าอี้ถูกยึดตั้งไว้ให้เอียงเล็กน้อยเพื่อให้ตูดเทไปข้างหลังจะได้ไม่ร่วงลงมาง่ายๆค่ะ และบนนั้น ไม่เย็นค่ะ แต่หนาวเลยค่ะ กดกล้องมือแข็งเลย 555555 นึกว่ากระเช้าก็คงไม่ยาวมาก ระยะเวลาบนนั้น 12 นาทีเอง แต่ความรู้สึกแบบมันนานมาก ชอบนะ แต่ก็มีแอบคิดว่ายังไม่ถึงอีกหรอ แต่ยังไม่ถึงก็ดี ฟีลดีกว่าขึ้นกระเช้าลอยฟ้าที่ดรีมเวิลด์แน่นอน มันจะขึ้นๆลงๆ ตามแนวภูเขา บางช่วงก็เป็นพื้นมีหญ้าขึ้น บางช่วงก็เป็นตะแกรงกั้น สลับไป ก็เสียวท้องน้อยนิดนึงแค่ตอนเริ่มออกตัวเท่านั้น จากนั้นก็ฟินนนนนยาว >/////< ไม่เสียทีที่เลือกมาเพราอยากนั่งกระเช้า

ลองคิดดูว่าถ้ามาฤดูใบไม้ร่วงละรอบข้างเป็นใบไม้แดงทั้งหมด -////- โอ้โห มันต้องดจีย์มากแน่ๆ

มองย้อนลงไป เอากล้องหันถ่ายข้างหลังก็จะเสียวๆ ตกหน่อยๆ

ถึงอีกฝั่งแล้วค่ะ อันนี้คนที่กำลังจะลงเขา ลุงคนดูแลจะเอาเก้าอี้มาช้อนตูดเราให้นั่งค่ะ ตอนมาก็เหมือนกัน ต้องกะระยะให้ดีแล้วรีบนั่งเลยค่ะ ทางเลื่อนเร็วอยู่ๆ

ว้าว! บนนี้มีใบเมเปิ้ลสีแดงด้วย เจอแค่ไม่กี่ต้นค่ะ อาจเพราะว่าข้างบนอากาศเย็นกว่าก็เลยเปลี่ยนสี แค่นี้ก็ดีใจแล้วที่เจอ อ่อ ตามกำหนดการคือคนที่มาในฤดูใบไม้ผลิ ก็มักจะมารอดูซากุระที่นี่ด้วยค่ะ แต่เรามาตอนร่วงไปหมดแล้ว T^T เสียใจ

เราเอง :’3

พอลงกระเช้าก็เดินตามทางมาไม่ไกล จะเจอวิวนี้

มีร้านกาแฟด้วยนะ

หรือจะกดน้ำจากตู้ที่วางเรียงมากมายก็ได้

ข้างหลังตรงนั้นคือที่ขึ้นเคเบิ้ลคาร์นะคะ ตอนขากลับเราจะมาลงกันตรงนี้ ถ้าดูตามแผนที่ก็จะเห็นว่าจุดขึ้นลงลิฟท์กระเช้ากับเคเบิ้ลคาร์จะอยู่คนละจุด แต่ไม่ไกลกัน โดยเคเบิ้ลคาร์มีระยะทางจากสถานีขึ้นมาบนเขา 1,020 เมตร และ 872 เมตร สำหรับลิฟท์กระเช้า ซึ่งการขึ้นมาด้วยทั้ง 2 วิธี จะลดระยะทางการเดินของเราไปเยอะมากเลยค่ะ แต่บางคนก็เลือกที่จะเดินจากข้างล่างขึ้นมาเลยเหมือนกัน

จากจุดชมวิวตรงนี้ เราสามารถมองเห็น Tokyo Metropolitan Government ( 新宿 : ชินจูกุ), TOKYO SKYTREE ( スカイツリー ), และ โตเกียวทาวเวอร์ ( 東京タワー ) โดยใช้กล้องส่องทางไกลหยอดเหรียญ 100 เยนค่ะ ความรู้สึกก็คือ…มันมองไปได้ไกลขนาดนั้เลยหรอ 5555555 นี้เรามาไกลจากโตเกียวพอสมควรอยู่นะ

อันนี้เป็นการซูมดิจิตอลจากกล้อง Panasonic GX8 + 14-140 f3.5-5.6 ที่ 140 mm และซูมดิจิตอล x4 ค่ะ เก็บมาได้ครบทั้ง 3 ตึกเลย ;’)

TOKYO SKYTREE แบบไกลๆ

เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ในเส้นทางนี้เราก็จะเจอ Mt.Takao Monkey Park ด้วย เป็นสวนลิงที่มีโชว์ลิงแสนรู้ให้ดูด้วย สังเกตได้ไม่ยาก มีรูปปั้นลิงตั้งอยู่ข้างหน้าเลย รวมถึงกลิ่นแรงมาก 55555 เวลาทำการ 9.30 น. – 16.30 น. ค่าเข้า 420 เยน/Adult 210 และ 210 เยน/Child ตอนที่เราไปก็ใกล้ปิดแล้วเลยไม่ได้แวะดู เพราะยังต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงยอดเขา ถ้าใครมาพร้อมเด็กๆ ก็ลองแวะดูนะคะ

จุดต่อไปที่เราจะเจอก็คือ “Tako-sugi” ต้นสนปลาหมึก เหตุผลที่เรียกแบบนี้เพราะว่าลำต้นและรากรูปร่างคล้ายปลาหมึก ซึ่งมีอายุกว่า 500 ปี มีความสูง 37 เมตร (ประมาณ 121 ฟุต) และเส้นรอบวงประมาณ 6 เมตร (ประมาณ 19 ฟุต) และเนื่องจากว่ารูปร่างคล้ายปลาหมึก จึงมีการสร้างรูปปั้นปลาหมึกขึ้นมาไว้ข้างๆ และทุกคนก็ไปถ่ายรูปกับปลาหมึกค่ะ ไม่ได้สนใจต้นสนเลย 5555555 ถ้าไปมองอีกด้านจะเห็นรากชัดกว่านี้นะ โดยตั้งแต่ตรงนี้ไปจนถึงประตูหน้าวัดยากุโออินก็จะมีต้นสนเรียงรายกันอยู่ริมทางเรื่อยไปค่ะ

และไฮไลท์เด็ดของภูเขาทาคาโอะอีกจุดหนึ่ง ที่ไม่ว่าอย่างไรก็พลาดไม่ได้ก็คือ “วัดยากุโออิน” (Takao-san Yakuo-in Temple) ประตูนี้เป็นสัญญาณบอกว่าเราเข้าเขตวัด และเดินมาได้ไกลระดับหนึ่งแล้ว โดยที่ตัววัดจะอยู่บริเวณยอดเขาก่อนถึงจุดชมวิวนะคะ ทางเดินต่อไปก็จะมีโคมสีแดงประดับข้างทางอย่างสวยงามเลยค่ะ

น้อง Olympus PEN-F + 7-14 mm f2.8 Pro อย่างหล่อเลยป่ะ เดินๆอยู่ก็มีคนแอบมองด้วยนะว่าเราใช้รุ่นไร เราก็เลยแอบมองกลับ 5555

“ขนมดังโงะ” คือของที่พลาดไม่ได้เมื่อมาภูเขาทาคาโอะ ซึ่งมีขายอยู่เยอะบริเวณที่จอดรถเคเบิ้ลคาร์ แต่เราไม่ซื้อค่ะ คนเยอะ55555 เราแนะนำให้เดินมาซื้อข้างบน ข้างล่างจะเป็นดังโงะแป้งสีขาวธรรมดา แต่อันนี้จะมีงาดำด้วย ย่างด้วยเตาถ่านแล้วทาด้วยซอสโชยุ กลิ่นหอมมาก หน้าร้านมีน้ำชาร้อนให้ดื่มฟรีด้วย ไว้สู้กับอากาศที่หนาวเย็น ถือแก้วอุ่นๆ กินดังโงะ นั่งมองธรรมชาติ สร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ดจีย์งามสุดๆไปเลย

น้องหมาก็มาเดินเขากันเยอะนะคะ มีทั้งหมาใหญ่หมาเล็กเลย น่ารัก ^^

หลังจากโคมสีแดง ช่วงต่อมาก็จะเดินผ่านป้ายรายชื่อผู้บริจาคที่ยาวมากกกกกก ยาวไปจนถึงวัดเลย

เมื่อเดินมาจนสุดทางแล้วเราก็จะเจอ Shitenno-mon Gate

แผนผังภายในวัดยากุโออินค่ะ

วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.744 เป็นหนึ่งในวัดหลักที่มีชื่อเสียงของนิกายพุทธชินกอนซึ่งพระสงฆ์จะถือปฏิบัติวินัยอย่างเคร่งครัด โดยทางวัดมีการจัดพิธีสวดบูชาไฟเป็นประจำ ถ้าครั้งไหนได้ยินเสียงพระสูตรก็ขอให้ตั้งใจฟังด้วยนะ หรือหากเป็นช่วงจังหวะดีๆ ก็จะสามารถเข้าร่วมการฝึกตนใต้น้ำตก หรือแม้กระทั่งพิธีลุยไฟในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ยังสามารถลิ้มรสอาหารมังสวิรัติ Shojin-ryori โดยโทรจองได้ที่ 042-661-1115 (เฉพาะภาษาญี่ปุ่น) ราคาอาหารชุดมังสวิรัติประมาณ 2500-3500 เยน

วัดแห่งนี้มีตำนานเล่าว่าเป็นสถานที่อยู่ของ “เท็งงุ” ( 天狗 ) ผู้พิทักษ์ภูเขาและป่าไม้ เนื่องจากเท็งงุเป็นข้ารับใช้เทพเจ้าแห่งภูเขานี้นั่นเอง หรือบางตำราก็กล่าวว่า เท็งงุเป็นปีศาจร้ายที่มักจะสร้างพายุโจมตีผู้คน หรือลักพาตัวเด็กๆ ไปปล่อยไว้ในภูเขา โดยภูเขาทาคาโอะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับเท็งงุที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น บริเวณโดยรอบจะมีรูปเคารพ และรูปปั้นเท็งงูกระจายอยู่ทั่วไป

มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าเท็งงุถือพัดว่า มีไว้เพื่อปัดเปล่าโชคร้ายให้ออกไป เหลือไว้เพียงแต่โชคดี โดยเท็งงุมีลักษณะคล้ายครึ่งคนครึ่งนก มีปีก สวมชุดญี่ปุ่น สามารถบินได้ และมีแต่เพศชาย

ขอพรแล้วรอดหิน Negaikanau-wakuguri จะสมหวังตามความปราถนาค่ะ

วางเหรียญข้างๆ แล้วใช้ไม้เคาะแบบนี้ค่ะ เคาะให้ดังๆนะ

ปีนักษัตรแบบญี่ปุ่น

“คุริคาระโด” (Kurikarado) ช่อกระพรวนสีเงินและสีทองที่มีมังกรสีทองนี้ ว่ากันว่าช่วยให้สมหวังเรื่องความรักความสัมพันธ์

มาญี่ปุ่นเราต้องสังเกตฝาท่อนะ แต่ละที่จะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันเลย สิ่งที่เราชอบของสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็คือเอกลักษณ์ในแต่ละท่องที่ชัดเจนอย่างถังขยะรูปเท็งงุก็น่ารักดี 55555

รอบๆ บริเวณนี้ก็จะมีตู้กดน้ำ ร้านขายของที่ระลึก ห้องน้ำ จุดปั้มแสตมป์ก็อยู่ตรงนี้ด้วยนะ 1 จุด (คือที่เดียวที่เราหาเจอ) ตอนเรามาถึงที่ตรงนี้ก็เดินสำรวจค่อนข้างนานเลยค่ะ ตื่นเต้น เดินมาตั้งนานพึ่งเจอสิ่งก่อสร้าง 5555

ต้นเดียวที่เจอ ใกล้ร่วงหมดแล้ว ปลิ้มใจ นึกว่าทั้งทริปจะไม่เจอสักต้นแล้วนะเนี่ย มันขึ้นอยู่ข้างบันไดทางขึ้น Nio-mon Gate ขั้นสูงๆพอสมควร การถ่ายภาพมาก็เกร็งตัวเยอะเลย กลัวร่วงลงมาก่อนได้ภาพ

พอเดินขึ้นมาก็จะพบกับโบสถ์ของวัดยากุโออิน ซึ่งจุดเด่นของวัดยากุโออิน คือมีทั้ง “โบสถ์” ของศาสนาพุทธ และ “ศาลเจ้า” ในลัทธิชินโต หรือก็คือเป็นศาสนสถานต่างศาสนาที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน

หน้ากาก Karasu tengu ขนาดใหญ่ ประดับอยู่ด้านข้างของโบสถ์ค่ะ

ทางขึ้นไปบนศาลเจ้า สังเกตุได้จากโทริอิซึ่งเป็นจุดเด่นของศาลเจ้าที่อยู่บริเวณหน้าทางเข้าค่ะ

โดยวิธีการสักการะระหว่างวัดและศาลเจ้าจะไม่เหมือนกัน สามารถศึกษาเพิ่มเติมการไหว้พระในวัดได้ที่ https://matcha-jp.com/th/858 และการสักการะศาลเจ้าญี่ปุ่นได้ที่ https://matcha-jp.com/th/874

ด้วยความงดงามท่ามกลางธรรมชาติในทุกฤดูกาลของภูเขาแห่งนี้ วัดยากุโออินที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,270 ปี จึงได้รับ 3 ดาว จากมิชลินด้านการท่องเที่ยว (Michelin Green Guides) ด้วยนะคะ

อันที่ติดอยู่บนภูเขา (รูปขวา) เราไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ดูแล้วเหมือนตัวยึดผ้าเพื่อคลุมหน้าดินอะไรทำองนั้น มันสวยเท่ๆดีนะ

ระหว่างทางเดินลงจากศาลเจ้าค่ะ

เดินเขาต่อค่ะ แม้เหงื่อจะไม่ออก เพราะอากาศหนาว และปวดเท้าบ้าง แต่เราต้องไปให้ถึงยอด สู้!

และ และ และเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว! เจอคนที่ขึ้นมาถึงก่อนเยอะอยู่ แต่ละคนก็ถ่ายรูปฉลองความสำเร็จและนั่งพักผ่อนหย่อนปลายเท้ากันตามอัธยาศัย

บริเวณนี้เป็น “จุดชมวิวบนยอดเขาทาคาโอะ” ค่ะ เป็นลานโล่งๆ ที่มีอากาศถ่ายเท ลมพัดสบาย สร้างความหนาวเย็นมากกว่าที่เดินมาตลอดทาง คืออากาศดีมาก สดชื่น เฟรช หายใจได้อย่างชุ่มชื่นปอดมาก แต่ก็จะสั่นๆหน่อย สั่นสู้ๆ และด้วยระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 599 เมตร (1,965 ฟุต) ทำให้จุดนี้เป็นจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดเจนจุดหนึ่งในวันที่ฟ้าเปิดค่ะ จัดเป็น ” 1 ใน 100 สถานที่ ที่ดีที่สุดในการชมภูเขาไฟฟูจิในภูมิภาคคันโต” และหากเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินในฤดูหนาว เราอาจจะมองเห็นปรากฏการณ์ที่พระอาทิตย์อยู่ตรงกับปากปล่องภูเขาไฟพอดี ที่เรียกว่า “Diamond Fuji” ค่ะ แต่วันที่เราไปฟ้าปิด จบค่ะ 55555 ไม่เห็นฟูจิเลย ออกจะครึ่มๆ และมีฝนตกปรอยๆ ตอนกำลังเดินลงด้วยค่ะ ยอมรับเลยว่าตอนขึ้นไปก็งงๆ ว่า “คนอื่นมาดูอะไรกัน มันต้องดูตรงไหนนะ?” แต่ก็เพราะสภาพอากาศในวันนั้นแหละค่ะ

ผู้พิชิต 599.15 เมตร เย้!

หลังจากนั่งพักผ่อนกันจนพอใจ ก็ได้เวลากลับค่ะ ตอนขึ้นมามีคนตลอดทางเลย ทำไมตอนลงเหมือนลงมากันแค่ 2 คนก็ไม่รู้ T^T คนหายไปไหนกันหมดดดดดด ต้องรีบเดินแล้วด้วยเปลี่ยวๆ และฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ

Alone in Tengu Land

ตอนขากลับเรานั่งเคเบิ้ลคาร์ลงนะคะ โชว์ตั๋วเบอร์ 3 เหมือนตอนขึ้นมา ลงรอบเดียวกับพนักงานบนเขาเลย ก็คือที่เดินมาไม่เจอคนเพราะเขาจะปิดแล้ว แต่ตอนเราเดินลงก็ยังมีคนเดินขึ้นไปอยู่เลยนะ 4-5 คน ไม่รู้ว่าจะได้ลงมากันตอนกี่โมง

หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองกรุง มาสัมผัสกับทิวทัศน์ที่หาที่ไหนไม่ได้ สูดอากาศให้เต็มปอด ท้าทายจิตใจและกล้ามขา แล้วกลับไปบอกกับคนอื่นว่า ฉันคือผู้พิชิต ภูเขาทาคาโอะ!

เคเบิ้ลคาร์มันก็สั่นๆ นะ แต่พี่ๆพนักงานยืนโหนกันข้างหลังดูชิลๆ สนุกมากเลย ผิดกับพวกเรานั่งเก้าอี้ละจับกำมือแน่นเลยค่ะ 555555 สนุกไม่แพ้ลิฟท์กระเช้า ต้องขึ้นให้ครบ

ลงมาถึงทีหมายแล้วค่ะ พนักงานเริ่มเช็ดทำความสะอาดรถกันเลยหลังจากเราลง

Bye Bye นะ ทาคาโอะ แล้วเราจะมาใหม่ในฤดูกาลต่อไป :’)